เพื่อนสนิทสารภาพ สังหารโหดเจ้าแม่เงินกู้เองคนเดียว พี่สาวห่วงหลานสาววัย 14 เห็นแม่ลงมือต่อหน้า

จากกรณีพบศพน.ส.ชฎาทิพย์ อายุ 32 ปี กลางแม่น้ำหลังสวน ซึ่งจากการชันสูตรศพพบบริเวณศีรษะ และตามแขน ลำตัว ทั่วร่างกายถูกตีด้วยของแข็ง ถูกฟันและแทง เป็นแผลฉกรรจ์ นับ 10 แผล เบื้องต้นเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน


โดย นางสุ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ได้ขับรถมารับผู้ตายออกไปข้างนอก อ้างชวนไปทวงหนี้ที่ลูกหนี้รายหนึ่ง ซึ่งเขาติดหนี้มาหลายเดือนแล้ว โดยทั้งคู่ได้ขับรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีดำ ออกไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย จนกระทั่งมาพบเป็นศพดังกล่าว ทั้งนี้ จากการสอบถามทราบว่า ผู้ตายมักจะสวมใส่สร้อยทองน้ำหนัก 5 บาท สร้อยข้อมือน้ำหนัก 2 บาท ซึ่งตอนพบศพสร้อยทองได้หายไป คงเหลือเพียงแหวนนามสกุลไว้เพียง 1 วง


ต่อมา ชุดสืบสวน สภ.พะโต๊ะ ได้นำตัว ผู้ต้องสงสัย เป็นชาย 2 คนอายุ ประมาณ 35-40 ปี และ หญิงสาว 1 คนอายุ ประมาณ 30-35 ปี มาสอบปากคำ หลังจากสืบทราบว่า เป็นกลุ่มสุดท้ายที่มีผู้พบเห็น ว่าอยู่กับผู้ตาย โดยพยานเป็นชาวบ้าน เช่าบ้านห้องแถวใกล้ที่พบศพ เล่าว่า ในช่วงค่ำของวันที่ 26 มีค.66 ได้ยินเสียงหวีดร้องจากบ้านเช่า จึงเข้าไปสอบถาม คนในบ้านบอกเพียงว่า เป็นเสียงเด็กร้อง


ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 มี.ค.2566 ที่สภ.พะโต๊ะ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร พ.ต.อ.มนต์ศักดิ์ ศรีสุวรรณ์ ผกก.สภ.พะโต๊ะ พร้อมกำลังเจ้าที่ชุดสอบสวนและชุดสืบสวน ควบคุมตัว นางบุญพา อายุ 36 ปี มาชี้จุดก่อเหตุที่บ้านเช่าของตนเองซึ่งใช้เป็นสถานที่ลวง น.ส.ชฎาทิพย์ มาทำร้ายทุบตีและฟันจนแน่นิ่ง ก่อนนำร่างขึ้นรถกระบะของตนเองแล้วขับรถออกมาจากบ้านเช่ามุ่งหน้ามายังสะพานบ้านตรังพัฒนา แล้วลากร่างของผู้ตายลงจากรถ ก่อนจะผลักร่างลอดราวสะพานเพื่อทิ้งศพดังกล่าว


เบื้องต้นผู้ก่อเหตุสารภาพเพียงว่า ได้ก่อเหตุเพียงคนเดียว ส่วนสาเหตุผู้ก่อเหตุยังไม่เปิดเผยแต่อย่างใด ๆ ซึ่งตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ ว่าจะก่อเหตุเพียงลำพัง และจะสอบสวนหารายละเอียดและมูลเหตุในการก่อคดีครั้งนี้ต่อไป


น.ส.บุญมี ซึ่งเป็นพี่สาวของผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจกับการกระทำของน้องสาวเป็นอย่างมาก และไม่คาดคิดมาก่อนว่าน้องสาวจะก่อเหตุในครั้งนี้ เพราะผู้เสียชีวิตและผู้ก่อเหตุเป็นเพื่อนสนิทกัน ไปมาหาสู่กันอยู่ตลอด และมักจะไปเล่นการพนันด้วยกันอยู่เสมอ ที่ผ่านมาน้องสาวไม่เคยพูดหรือเล่าให้ฟังว่ามีปัญหาหรือมีเรื่องผิดใจกับผู้เสียชีวิตมาก่อน


น.ส.บุญมี กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ถึงแม้ว่าน้องสาวจะปฏิเสธในเบื้องต้น แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็มีหลักฐานแน่นหนาพอสมควร ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งในตอนนี้สิ่งที่ตนเป็นห่วงมากที่สุดคือหลานวัย 14 ปี เพราะในช่วงที่น้องสาวก่อเหตุทำร้ายร่างกายน.ส.ชฎาทิพย์ จนเสียชีวิตนั้นได้ก่อเหตุต่อหน้าลูกสาว


น.ส.บุญมี กล่าวอีกว่า ตนเป็นห่วงสภาพจิตใจของหลาน ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุนั้น ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับน้องสาวและหลาน ซึ่งหลังจากนี้หากเสร็จเรื่องทางคดีเรียบร้อยแล้วนั้นก็คงให้พ่อของเด็กมารับไปดูแลต่อ