สลด! ผัวทำร้ายเมียดับ ก่อนปลิดชีพตาม ลูกไม่เชื่อพ่อเป็นคนทำ ยืนยันทั้งคู่รักกันมาก

จากกรณี ร.ต.อ.จีระทัศน์ กิติศักดิ์ รอง สว. (สอบสวน) สภ.ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูนรับแจ้งเหตุพบศพคนเสียชีวิตสองศพที่บ้านหลังหนึ่ง (เลขที่300) หมู่ที่ 1 ต.ป่าไผ่ อ.ลี้ จ.ลําพูน จึงรุดไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วยพ.ต.ท.จรีะเดช จันทร์อ่อน รองผกก.,ชุดสืบสวน, จนท.พิสูจน์หลักฐานลําพูนและแพทย์รพ.ลี้


เมื่อไปถึงที่เกิดบริเวณติดกับห้องครัวพบศพนายผ่าน อายุ 66 ปี นอนหงายเสียชีวิตที่บริเวณศีรษะถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้น ติดกันพบศพนางอัจฉราภรณ์ อายุ 64 ปี นอนเสียชีวิตในสภาพนอนหงายที่บริเวณท้ายทอยถูกของแข็งมีคมฟัน และยังพบร่องรอยการลากศพจากใต้ถุนบ้านมายังจุดเกิดเหตุเป็นระยะทางเกือบ 10 เมตร นอกจากนี้ห่างไปประมาณ 10เมตรที่บริเวณใต้ต้นลำไยยังพบอาวุธปืนลูกซองสั้นตกอยู่อีก 1 กระบอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน


และจากการสอบสวนลูกชายของผู้ตายทราบว่าผู้ตายทั้งสองเป็นสามีภรรยากันช่วง 11.00 น.ตนเองกลับมาบ้านไม่เห็นทั้งคู่เมื่อเดินมาดูก็พบว่าทั้งคู่กลายเป็นศพจึงแจ้งตำรวจ


เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า นายผ่านจะหึงหวงภรรยา และอาจจะคิดว่านางอัจฉราภรณ์จะกลับไปอยู่กับลูกชาย จึงก่อเหตุฆ่าภรรยาตัวเองก่อนลากศพมาไว้ข้างห้องครัว แล้วใช้ปืนยิงตัวตายตาม ส่วนสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างการสอบสวนและรอผลชันสูตรและผลทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดอีกครั้ง


ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง พบกับนายคมจิต อายุ 38 ปี ลูกชายผู้ตาย พร้อมนำผู้สื่อข่าวไปดูจุดเกิดเหตุและจุดที่พบปืนตกอยู่ ซึ่งทั้งสองจุดอยู่ห่างกันเกือบ 10 เมตร โดยลูกชายผู้ตายเปิดเผยว่า ช่วงแปดโมงเช้าของวานนี้ ตนเองยังกินข้าวด้วยกันกับผู้ตายอยู่ และพ่อก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเครียดหรือทะเลาะกันแต่อย่างใด เพราะทั้งคู่รักกันมาก และเกือบสองปีมานี้ ตนเองไม่เคยเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันมาก่อนเขารักกันดี


กระทั่ง 11.00 น.วันที่เกิดเหตุตนเองกลับมาที่บ้านก็เห็นบ้านเงียบผิดปกติจึงเดินตามหาและพบว่าทั้งคู่กลายเป็นศพดังกล่าว


ทั้งนี้ส่วนตัวไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อจะฆ่าภรรยาตาย เพราะทั้งคู่รักกันมาก ไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน อีกทั้งพ่อยังเป็นคนใจดีใจเย็น ประกอบกับจุดที่พบปืนซึ่งตกห่างจากจุดที่พบศพเกือบ 10 เมตร อีกทั้งทิศทางหรือองศาในการกระเด็นของปืนก็น่าสงสัยอีกจึงอยากจะให้ตำรวจทำคดีอย่างละเอียดเพราะมีที่น่าสงสัยหลายอย่างแต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่จะออกมาอีกครั้ง