ผัวชาวเมียนมาเมาเหล้าทะเลาะกับเมีย เมียถือมีดคัตเตอร์แล้วผลักอกล้มเฉือนหน้าอกเลือดอาบ

วันที่ 16 ธันวาคม 2565 เวลา 16.00 น. ตำรวจ 191 สระบุรี ได้รับแจ้งจากประชาชนว่า มีชายชาวเมียนมา โดนอาวุธบริเวณหน้าอกด้านขวาเป็นแผล มีเลือดออกมา จากนั้นได้รับแจ้ง จึงประสานหน่วยงานกู้ภัย สว่างรัตนตรัยสระบุรีไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยชุดสายตรวจเจ้าหน้าที่ตำรวจสระบุรี

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ เป็นห้องเช่า ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต. ตลิ่งชัน อ. เมือง จ.สระบุรี เมื่อไปถึง เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ กำลังปฐมพยาบาลทำแผลอยู่ ซึ่งมีร่องรอยโดนอาวุธมีดเป็นแผลยาว 10 เซนติเมตร มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้บาดเจ็บมีอาการเมาสุรา พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง ทราบชื่อ นาย ออง ลวิน อู เป็นชาวพม่า อายุ 33 ปี อาศัยอยู่ตามบัตรประจำตัวต่างด้าว ( ห้องเช่า )  ทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง ต. ตาลเดี่ยว อ. แก่งคอย จ.สระบุรี จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลสระบุรี

จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้ทำการสอบถามเหตุการณ์กับนาง คา คา วี ภรรยาผู้บาดเจ็บ อายุ 25 ปี เป็นชาวเมียนมาเหมือนกัน จากการสอบถามทราบว่า ตนเอง และสามี ทำงานเป็นคนงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในตำบลตาลเดี่ยว วันนี้ตนเองไม่ได้ไปทำงานเนื่องจากไม่สบายจึงนอนพักอยู่ห้อง ส่วนสามีตนเองคือนาย ออง ลวิน อู นั้นไม่ไปทำงานเหมือนกันแต่ไม่อยู่ห้อง ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนที่บริเวณหน้าห้องเช่าตั้งแต่เช้า จนเมื่อเวลา 16.00 น. สามีตนเองมาปลุกตนเองบริเวณหน้าห้องตนเองก็เดินไปหน้าห้องเพื่อพูดคุยแล้ว ก็บ่นว่ากินได้ทุกวันเลยเหล้าน่ะ เมาแล้วไปนอนเถอะ ผัวตนเองก็บ่นไปตามประสาคนเมาเหล้าแล้วก็เอ่ยคำพูดว่า แม่ยายของตน ตนเองก็เถียง จนตนเองรำคาญ ประกอบกับสามีเค้ามาประชิดตัว ตนเองเห็นมีดคัตเตอร์อยู่ใกล้มือจึงเอาถือไว้ แล้วผลักอกสามีตนเองจนล้ม แล้วมีดคัตเตอร์ก็ไปบาดบริเวณหน้าอกด้านซ้าย มีเลือดออก จึงได้แจ้งตำรวจ 191 จากนั้นกู้ภัยฯ ได้เข้าที่เกิดเหตุ ปฐมพยาบาล เบื้องต้น นำตัวส่งโรงพยาบาลสระบุรี ตนเองเบื่อสามีมาก เนื่องจากตนเองแต่งงานมีลูกจำนวน 2 คนเป็นหญิงทั้งคู่ คน โตอายุ 5 ปี ฝากเลี้ยงกับปู่ ย่า ส่วนคนเล็กอายุ 1 ปีเศษ ก็ฝากเลี้ยงกับ ตายาย ตนเอง ไม่มีเจตนาจะทำร้ายสามีหรอก ยังรักสามีแม้สามีจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่

ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ สระบุรี จะได้เชิญตัว นาง คา คา วี ภรรยาผู้บาดเจ็บ มาสอบถามถึงเหตุการณ์ และรอให้สามีคือนาย ออง ลวิน อู ทำการักษาให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วมาพูดคุยกัน ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป