สรุปข่าว

เรื่องเล่าหน้าหนึ่ง 15 พ.ย.65 นายกฯต้อนรับเยาวชนเอเปค-ดรามาปลากุเลาตากใบปลอม-ผู้กำกับโจ้ ร่ำรวยผิดปกติ

โดย thichaphat_d

15 พ.ย. 2565

80 views

-จ่อหมายจับอีก 4 แก๊งอาชีวะ ด้านพ่อ ไม่รู้ลูกก่อเหตุ เห็นแต่นั่งสมาธิ จ่อออกหมายจับอีก 4 แก๊งนักเรียนอาชีวะสุดโหด อุ้มทรมาน รวมผู้ต้องหา 17 ราย ขณะที่พ่อคนก่อเหตุอ้าง ลูกพาแค่มารับน้อง ปกติลูกชอบสวดมนต์และปฏิบัติธรรม

ด้านแม่ผู้เสียหาย สวนทันควัน เป็นการแก้ต่างเพื่อให้ฝั่งตัวเองดูดีเท่านั้น ส่วนทนายรณรงค์แฉ เพิ่มแก๊งเด็กช่างอุ้มคู่อริบังคับอมกล้วย มี 2 คนอยู่วงการบันเทิง

-ล่า 4 โจร แก๊งลักสายไฟ เจ้าของร้านใจเด็ดถ่ายคลิปขณะปีนเร่งล่า 4 โจร แก๊งลักตัดสายไฟย่านคลองสาน หลังเจ้าของร้านใจเด็ดตั้งกล้องสู้ ถ่ายโจรปีนร้านอาหาร ตัดสายไฟ ขโมยทรัพย์สิน เรียกคนช่วยล้อมจับ ก่อนโจรขับรถพุ่งฝ่าวงล้อมหนีไป ทำพลเมืองดีเจ็บ 2 ราย ล่าสุด ตร.ได้เบาะแสแก๊งคนร้ายแล้ว พร้อมรอให้ผู้บาดเจ็บเข้าชี้ตัวยืนยัน

-รองโฆษก แจงดรามา “เมนูปลากุเลาตากใบปลอม งานเลี้ยงผู้นำเอเปค ชี้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ด้านเชฟชุมพล เผยซื้อจาก “ป้าอ้วน 1 เดียวในตากใบ” OTOP 5 ดาว ด้านวิสาหกิจชุมชนโอรังปันตัย ระบุที่โวยเพราะรัฐบาลนำภาพของกลุ่มที่มีลายน้ำของสมาคมไปใช้ จึงทำให้เข้าใจผิดควว่าซื้อมาจากกลุ่มตน

-สลดคุณลุงวัย 83 ปีขับ 10 ล้อพุ่งชนกลางตลาดนัด ชาวบ้านวิ่งหนีกระเจิง ตาย 1 บาดเจ็บ 3 ราย คนขับอ้างว่า เบรกแตกควบคุมรถไม่ได้ ก่อนฉุนนักข่าวถามขอตรวจเลือดบอกมีสิทธิ์อะไร ด้านตำรวจคุมตัวแจ้งหลายข้อหา ขับรถชนคนตาย-บาดเจ็บเสียทรัพย์ ขณะที่ผลตรวจสารเสพติดกลับไม่พบ

-การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก เจรจาไม่ลงตัว ฟีฟ่ายอมลดราคาลงต่ำกว่า 42 ล้านเหรียญเล็กน้อย ด้านผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ชี้ค่าลิขสิทธิ์ยังสูงเกินกว่าที่จะรับได้ เนื่องจากงบมีไม่พอ พร้อมตอบกลับถ้าไม่ลดให้มากกว่านี้ ก็ไม่สามารถซื้อได้หากฟีฟ่ายังยืนยันราคาเดิม ก็อาจจะไม่มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในประเทศไทย


เรื่องเล่าการเมือง

-เริ่มแล้วสำหรับสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพ เมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรี นอกจากไปเปิดนิทรรศการ ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG ยังเปิดทำเนียบต้อนรับตัวแทนเยาวชนเอเปค อย่างอารมณ์ดี และสวมบทเป็นไกด์พาเยี่ยมชม ก็ย้ำว่าทุกประเทศอยากเดินทางมาประเทศไทย

เมื่อวานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เปิดนิทรรศการนำเสนอความสำเร็จ การขับเคลื่อนวาระเศรษฐกิจ BCG ในช่วงสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2565 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

โดยท่านนายกฯ กล่าวย้ำ ว่า ประเทศไทยมีผลงานที่จับต้องได้จำนวนมาก ที่สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสร้างความยั่งยืน โดยเฉพาะแนวคิด BCG หรือ เศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่จะเป็นการปูพื้นฐาน สู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเศรษฐกิจโลกยุคหลังโควิด-19

นอกจากนี้ ท่านนายกฯ ยังได้เปิดทำเนียบรัฐบาล ต้อนรับตัวแทนเยาวชนเอเปค ในโครงการ APEC Voices of the Future ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการรับมอบแถลงการณ์ ที่เสนอแนะเชิงนโยบายและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค

ก็มีบรรยากาศของท่านนายกฯ สวมบทเป็นไกด์ พาทัวร์พื้นที่ทำเนียบรัฐบาล ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก็บอกกับผู้สื่อข่าวว่า "ทุกคนเขาชอบประเทศไทยเพราะมองสวยงาม และมีความสุข" พร้อมหยอกล้อกับตัวแทนเยาวชนเอเปค ที่มาจากหลายประเทศ โดยก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ได้ยกนิ้วโป้งสัญลักษณ์ว่ายอดเยี่ยม และ ชูสัญลักษณ์ไอเลิฟยู พร้อมกล่าวว่า "รักกันไว้เถิด"

จากนั้น ท่านนายกฯ ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าว ย้ำถึงการจัดประชุมเอเปค ว่ามีความพร้อมกว่าร้อยละ 90 เหลือแค่วันจริง และขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นที่น่ากังวล


-ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด "ผู้กำกับโจ้" ร่ำรวยผิดปกติ 1,358 ล้านบาท ขอศาลยึดให้ตกเป็นของแผ่นดิน ล่าสุดอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.แถลงว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติในคดีที่สำคัญ 2 คดี

คดีแรก คือคดี พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ซึ่ง ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดว่า ผู้กำกับโจ้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่ากว่า 1,358 ล้านบาท

โดยคดีนี้ ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริง หลังจากเกิดกรณีผู้กำกับโจ้ กับพวก จับกุมนายจิระพงษ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาในคดีค้ายาเสพติด มีการเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี และกระทำการจนทำให้ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย และ ปรากฏข้อเท็จจริงจากข่าวดังกล่าวอีกด้วยว่า ผู้กำกับโจ้ มีบ้านหลังใหญ่พร้อมสระว่ายน้ำในเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ และครอบครองรถยนต์จำนวนมาก เป็นรถหรูจำนวนหลายคัน มีมูลค่ารวมกันประมาณ 100 ล้านบาท

และจากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า รายการทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหา ได้มาโดยไม่สัมพันธ์กับรายได้ และเกินกว่าฐานะและรายได้ที่ได้รับจากราชการจะพึงมี จึงเป็นกรณี "ร่ำรวยผิดปกติ" ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ รวม 32 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้นมากกว่า 1,358 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งที่เป็นบัญชีเงินฝาก บ้าน ที่ดิน และ รถหรูต่างๆ รวมถึงหนี้สินจากการเช่าซื้อรถยนต์และรถหรูด้วย

ทั้งนี้ ป.ป.ช. ได้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็น ไปยังอัยการสูงสุด แล้ว เพื่อให้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน แล้ว และเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา อัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฯ เรียบร้อยแล้ว


-อีกคดี ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด คือคดีนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบเกี่ยวกับคดีเงินทอนวัด

โดยนายชนม์สวัสดิ์ และ นายอำนวย รัศมิทัต ครั้งเป็นนายก อบจ.ช่วงปี 2554 – 2556 ได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้กับวัดในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ รวม 68 โครงการ เป็นเงิน 836 ล้านบาท พบว่าใน 20 โครงการ วงเงินงบประมาณ 338 ล้านบาทเศษ มีการกระทำที่ไม่ชอบ

โดยเลขาธิการ แถลงถึงพฤติการณ์ในคดีอย่างละเอียดว่า นายปกรณ์ 
เนตรประภา ซึ่งมีความสนิทสนมกับผู้บริหารของ อบจ.สมุทรปราการ จะไปประสานติดต่อกับวัดที่ขอรับเงินอุดหนุนเพื่อก่อสร้างเมรุหรือศาลาการเปรียญ และนำเอกสารทั้งหมดไปยื่นให้ อบจ.สมุทรปราการ

จากนั้น อบจ.ในช่วงที่ นายชนม์สวัสดิ์ และ นายอำนวย เป็นนายก อบจ. ได้ร่วมกับปลัด อบจ.ในขณะนั้น และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการอนุมัติงบประมาณ จากนั้นนายปกรณ์ จะประสานกับทางวัดที่ได้รับงบประมาณ สุดท้ายทางวัดจะมอบเงินให้นายปกรณ์ครึ่งหนึ่งของวงเงินที่วัดได้รับ

ขณะที่หลังเบิกจ่ายงบให้วัดแล้ว ทาง อบจ.ไม่ได้ไปติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณ และพบว่าทุกโครงการมีปัญหาการก่อสร้าง ผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา มีการจ้างช่วง ทิ้งงาน ก่อสร้างไม่ตรงตามแบบแปลน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อราชการ

ป.ป.ช.จึงมีมติชี้มูลความผิด แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 นายก อบจ.สมุทรปราการ คือ นายชนม์สวัสดิ์ และ นายอำนวย

-ความผิด คือ ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ หรือ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือ ประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน

กลุ่มที่ 2 ข้าราชการ อบจ.สมุทรปราการ

-ผิดวินัยอย่างร้ายแรง และ ผิดอาญา ข้อหาละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

กลุ่มที่ 3 เอกชน คือ บริษัทเอเวอร์กรีน เอ็กซ์พอลเรอร์ฯ และ นายปกรณ์ เนตรประภา

-ผิดอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานให้กระทำผิด



-หลังมีการเสนอไอเดียของ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ที่จะผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล่าสุดก็มีท่าทีจากทั้ง ส.ส.รัฐบาลและ ฝ่ายค้าน

เรื่องนี้ มาจากที่ นายแพทย์ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ เสนอผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม กลับมาอีกครั้ง ในคดีการเมือง ตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 ถึงวันที่ 30 พ.ย.2565 โดยกำหนดเงื่อนไข ไม่รวมไปถึงคดีทุจริต คดีอาญาร้ายแรง และความผิดเกี่ยวกับ กฎหมายมาตรา 112

ทั้งนี้ นายแพทย์ระวี ก็ย้ำว่า นี่จะเป็นทางออก ทำให้สังคมหลุดพ้นจากความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งจากนี้จะพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อเสนอเข้าสู่สภาภายใน 30 พ.ย.นี้

แนวคิดนี้ ก็มีท่าทีของส.ส.รัฐบาล และฝ่ายค้าน เริ่มจาก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเตือนว่า เราเคยมีบทเรียนในอดีตมาแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง และไตร่ตรองให้รอบคอบ

ขณะที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ บอกว่า “คนที่จะทำเรื่องนี้ต้องคิดให้ดี เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และระบุว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มีการพูดคุยหารือถึงเรื่องนี้ในการประชุมพรรค”

ด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นถึงการผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า การจะแก้ปัญหาไม่ควรเริ่มด้วยการมีข้อจำกัด โดยเฉพาะมาตรา 112 จึงมองว่าเป็นการติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองของประเทศได้


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/X4CDO_5nejc


คุณอาจสนใจ

Related News