สังคม

ป.ป.ส. ยึดบ้านหรู 21 ล้านบาท พร้อมทรัพย์สิน นักค้ายาเสพติดระดับสั่งการ

28 ต.ค. 2565

566 views

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) ภายใต้โครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ท่าเรือ (Seaport Interdiction Task Force : SITF) บุกบ้านหรู สืบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม และยึดทรัพย์สิน นักค้ายาเสพติดระดับสั่งการ ผู้บงการเคสเตรียมส่งไอซ์ไปไต้หวัน 945 กิโลกรัม





โดยปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น 3 จุด ในพื้นที่ กทม. และจ.นนทบุรี ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับ นายสมปราชญ์ อายุ 53 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา โดยตรวจยึดบ้านพักหรู มูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท ในพื้นที่เขตสะพานสูง กทม. รวมทั้งอายัดเงินในบัญชีธนาคาร รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 50 ล้านบาท



สืบเนื่องมาจากวันที่ 14 สิงหาคม 2565 ภายใต้โครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติด ในพื้นที่ท่าเรือ จับกุมยาเสพติดประเภท 1 (ไอซ์) จำนวน 945 กิโลกรัม ซุกซ่อนในแผ่นซิลิโคน เตรียมส่งไปยังไต้หวันที่ท่าเรือกรุงเทพ ก่อนขยายผลจับกุม นายสมชาติ มีบทบาทในการเปิดบริษัทนําเข้า - ส่งออกสินค้า และ น.ส.พรทิพา พร้อมของกลาง ไอซ์ 76 กก. และตรวจยึดทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 4 ล้านบาท ที่โกดังเก็บสินค้า ต.ลาดหลุมแก้ว อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี และบ้านเช่า ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี




จากการขยายผลพบผู้ว่าจ้างและสั่งการคือ นายสมปราชญ์ โดยปรากฎหลักฐานเส้นทางการโอนเงิน ให้ดำเนินการเกี่ยวกับยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงรวบรวบพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับ นายสมปราชญ์ ซึ่งขณะนี้ ได้หลบหนีหมายจับไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน



นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ปฏิบัติการนี้มุ่งปราบกลุ่มผู้ค้าและขบวนการค้ายาเสพติดซึ่ง ถือเป็นต้นตอแท้จริงของปัญหายาเสพติด กลุ่มอาชญากรเหล่านี้ต้องรับการลงโทษอย่างเด็ดขาด และใช้มาตรการยึด ทรัพย์เกี่ยวกับกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งหมด โดยสามารถยึดทรัพย์สินอื่นทดแทน จนเท่ากับรายได้ที่มา จากการค้ายาเสพติดซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้มีการสืบสวนจากการจับกุมจนถึงตัวผู้สั่งการที่มีอิทธิพล โดยมีวางเป้าหมายการยึดทรัพย์ที่ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายไว้ที่การยึดทรัพย์สิน ขบวนการค้ายาเสพติดให้ได้ 1 แสนล้านบาท



โดยบ้านหลังดังกล่าว นายสมปราชญ์ ได้จดทะเบียนโดยใช้ชื่อของลูกชาย จึงทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายผล และดำเนินการได้ล่าช้า ซึ่งจะต้องสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดของพ่อหรือไม่

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ