อาชญากรรม

รวบอดีตตำรวจดัง โกงร้านทอง-ร้านรับแลกเงิน ประวัติโชกโชน รับติดพนันหนัก ลอกเลียนวิธีจากคนร้าย

โดย passamon_a

18 ก.ย. 2565

449 views

กองปราบตามรวบ อดีตนายตำรวจดัง 'ครรชิต แตงจุ้ย' ฉ้อโกงร้านขายทอง-ร้านรับแลกเงิน พบประวัติก่อเหตุยาวเหยียด ถูกจับมาหลายแล้วครั้ง และพัวพันคดีอุ้มสจวร์ต


พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงผลการจับกุม อดีตนายตำรวจ คือ นายธารา เจริญนาคา หรือ พ.ต.ท.ครรชิต แตงจุ้ย อดีตรองผู้กำกับการ จราจร สน.บางรัก และนายผ่านศึก อดีตข้าราชการตำรวจ เพื่อนร่วมรุ่น นรต.36 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงร้านรับแลกเงินสกุลต่างประเทศ และร้านขายทอง โดยใช้วิธีการเคลียร์ริ่งเช็คธนาคาร หรือซื้อและแลกเปลี่ยนเงินตราและสินค้าด้วยเช็คเด้ง


โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักในซอยวิภาวดีรังสิต 40/2 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร และจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา สืบเนื่องจากนายธารา หรือ ครรชิต แตงจุ้ย กับพวก ได้ไปติดต่อขอซื้อทองรูปพรรณจากร้านทองแห่งหนึ่งที่แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ตรงข้ามจังหวัดมุกดาหาร โดยผู้เสียหายได้โพสต์ภาพกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพคนร้ายขณะเข้ามาก่อเหตุภายในร้านทองได้อย่างชัดเจน พร้อมประกาศตามหาตัวผู้ก่อเหตุ


จนกระทั่งได้มีการเข้ามาแจ้งความไว้ที่พื้นที่ จ.มุกดาหาร ซึ่งพฤติกรรมการผู้ต้องหาจะชำระเงินด้วยการสั่งจ่ายเป็นเช็คธนาคาร พร้อมขอเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหายไป ก่อนออกอุบายแจ้งกับร้านทองว่าเงินเข้าบัญชีแล้ว


เมื่อมีการตรวจสอบไปที่ธนาคารในช่วงเวลาดังกล่าว ปรากฏข้อมูลมีเงินเข้าบัญชีของทางร้านจริง จึงได้มอบทองรูปพรรณให้กับผู้ต้องหาไป แต่เมื่อผู้ต้องหาออกจากร้านไปแล้ว จึงได้ตรวจสอบอีกครั้งก็พบว่าไม่มียอดเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารของทางร้านแต่อย่างใด ทำให้เกิดความเสียหายประมาณ 6 แสนบาท


พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาจะอาศัยช่องว่างของการเคลียริ่งเช็คธนาคาร ซึ่งจะปรากฏยอดแจ้งว่ามีเงินเข้าบัญชีจริง แต่เป็นยอดเงินจากการจ่ายเช็คเคลียริ่ง ไม่ใช่เงินสดแต่อย่างใด ร้านทองจึงได้เข้าแจ้งความกับ สภ.เมืองมุกดาหาร พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นต่อศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาไว้ ก่อนจะตามจับกุมได้ดังกล่าว


นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ต้องหามีหมายจับของศาล จ.หนองคาย ที่ 145/2565 คดีหมายเลขดำที่ อ 627/2565 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ อีก 1 คดี


จากการสอบปากคำทราบว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุทั้งหมดจริงโดยใช้วิธีของคนร้ายที่ตนเคยพบเห็นในขณะรับราชการเป็นตำรวจ ส่วนวิธีการหลบหนีจะใช้ความรู้ที่ได้ในขณะรับราชการตำรวจ มาหลบหนีการจับกุมด้วยทั้งการเปลี่ยนซิมการ์ดเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ การเปลี่ยนชื่อนามสกุลหลายครั้ง การใช้บัตรประชาชนหลายใบ และเมื่อถูกจับกุมก็จะใช้ความรู้จากอาชีพตำรวจหลบเลี่ยงการสอบสวนของตำรวจ จนสามารถรอดการถูกดำเนินคดีมาได้หลายครั้ง


โดยหลังจากพ้นโทษในคดีแรก ก็เปลี่ยนชื่อและนามสกุลหลายครั้ง เพื่อใช้ในการก่อเหตุ ทั้งนี้สาเหตุที่ตัดสินใจก่อคดีเนื่องจากตนเองเป็นคนติดการพนันอย่างมาก โดยการก่อคดีหลายครั้งเมื่อได้ทรัพย์สินมามูลค่าหลายล้านบาท และการก่อเหตุครั้งล่าสุดก็นำเงินทั้งหมด 800,000 บาท ไปเสียที่บ่อนการพนันในประเทศเพื่อนบ้านภายในวันเดียว ตนเองรู้ว่าการกระทำของตนไม่เหมาะสม และทำให้เสื่อมเสียต่อเพื่อนร่วมสถาบัน และรุ่น นรต.36 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ


ทั้งนี้ ในการทำสำนวนคดีล่าสุดจะมีการระบุท้ายคำร้องเพื่อให้อัยการและศาลพิจารณาถึงพฤติกรรมการก่อเหตุซ้ำ ๆ โดยไม่มีสำนึกของผู้ต้องหา เพื่อให้พิจารณาลงโทษสูงสุด และจะประสานให้กรมราชทัณฑ์รับทราบในพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาได้รับการลดโทษและออกมาก่อเหตุอีก


ส่วนนายผ่านศึก ผู้ต้องหาอีก 1 คน ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับ แต่จากการตรวจสอบประวัติในเบื้องต้นพบว่า เคยเป็นอดีตข้าราชการตำรวจและถูกให้ออกจากราชการ เนื่องจากไปมีส่วนในการทุจริตโกงเงินประกันตัวผู้ต้องหา ในระหว่างที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายธุรการของสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง


รายงานข่าวแจ้งว่า นายธารา หรือ พ.ต.ท.ครรชิต แตงจุ้ย หรือ นายภัทร ทรัพย์วรา หรือ นายกรณ์ แตงจุ้ย หรือนายอ้อย หรือนายเอ อดีตเคยเป็นรอง ผกก.จร.สน.บางรัก อดีตนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36 ที่ผ่านมาเคยถูกจำคุกและให้ออกจากราชการ มีประวัติการก่อเหตุมาอย่างโชกโชน เริ่มจากการถูกดำเนินคดีร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์และร่วมกันปลอมตั๋วเงินด้วยการปลอมลายมือชื่อ ของนายชัยรัตน์ หรือเสี่ยติงนัง พนักงานต้อนรับบนสายการบินชื่อดังเมื่อปี 2542 ครั้งนั้นเจ้าตัวถูกตำรวจ สน.บางรัก ดำเนินคดีและถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 19 ปี แต่เจ้าตัวถูกจำคุกจริงเพียง 5 ปี เนื่องจากปฏิบัติตัวดีและได้รับการลดโทษ


หลังพ้นโทษออกมาในปี 2555 ยังไม่สำนึก ก็ไปร่วมกับพวกก่อเหตุฉ้อโกงร้านทองในหลายจังหวัด โดยใช้วิธีการเคลียริ่งเช็คของธนาคาร หรือการใช้เช็คเด้งซื้อขายสินค้า จนได้ทองคำหนักหลายร้อยบาท มูลค่านับ 10 ล้านบาท รวม 8 คดี และไปถูกจับกุมตัวได้เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 โดยศาลพิพากษาให้จำคุก 8 ปี แต่ติดคุกจริงเพียง 3 ปี


หลังพ้นโทษออกมาในปี 2565 ได้ออกมาตระเวนก่อเหตุตามร้านทองอีก ในจังหวัดหนองคายและมุกดาหาร ก่อนที่จะหลบหนีการประกันตัว กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ได้ใช้วิธีการเดียวกันนี้กับร้านรับแลกเงิน ย่านถนนสุรวงศ์ พื้นที่สน.บางรัก โดยอาศัยช่องว่างของธนาคารในลักษณะเดิมได้เงินสกุลดอลลาร์ไปรวม 22,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 800,000 บาท ก่อนจะนำเงินที่ได้ไปเล่นพนัน


รับชมทางยูทูบที่ :  https://youtu.be/AkDEplvLNeQ


คุณอาจสนใจ

Related News