สังคม

ภาคประชาชน จี้คดีสิบเอกคุกคามทางเพศ ต้องขึ้นศาลพลเรือน หวั่น 2 มาตรฐาน

โดย panwilai_c

17 ก.ย. 2565

370 views

กรณีที่ ทหารยศสิบเอก ล่วงละเมิดทางเพศ พนักงานราชการหญิง สังกัด มณฑลทหารบกที่ 17 จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเมื่อวานนี้ ทางกองทัพบก ได้สรุปผลการสอบสวน ว่า มีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหาจริง จึงมีคำสั่งปลดออกจากราชการแล้ว เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหาร ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง วันนี้เครือข่ายภาคประชาชน ออกมาเรียกร้อง ให้คดีไม่ต้องขึ้นศาลทหาร และไม่เป็นคดี 2 มาตรฐาน ย้ำว่า ต้องขึ้นศาลพลเรือน และตั้งกรรมการคนนอกร่วมสอบด้วย เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับเหยื่อ



นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวถึงกรณีทหาร พยายามข่มขืนผู้เสียหายในบ้านพัก ต้องไม่ให้เรื่องเงียบ เพราะผู้กระทำผิด มีอำนาจ มีอิทธิพล เป็นเด็กนาย และพ่อเป็นคนใหญ่โต เหมือนๆ กับ การคุกคามทางเพศในหลายคดีในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากต้องใช้สื่อแขนงต่างๆ เป็นเครื่องมือ เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม จึง เรียกร้องไปยังกองทัพบกให้คดีนี้ต้องไม่ขึ้นศาลทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามูลนิธิฯ เคยเข้าไปช่วยเหลือเหตุการณ์ที่คล้ายกัน



แต่เมื่อขึ้นศาลทหารกลับทำอย่างล่าช้า แนวโน้มจะช่วยเหลือกัน ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผู้กระทำ โดยมีผู้แทนหน่วยงานภายนอกร่วมเป็นกรรมการด้วย ให้กองทับบกต้อง ตั้งกลไกในการป้องกัน คุ้มครอง และเยียวยา การคุกคามทางเพศในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ ปฏิรูประบบยุติธรรมศาลทหาร คดีทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัว หรือคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวกับพลเรือนขอให้ใช้ศาลพลเรือน



ด้าน ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นสะท้อนวงจรความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นซ้ำซากในสังคมไทย มีแบบแผนพฤติกรรมและเหตุการณ์ซ้ำเดิม เริ่มจากผู้กระทำผิดมักเป็นผู้มีอำนาจ มีอิทธิพล ทั้งจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ฐานะทางสังคม โดยผู้กระทำมักเลือกลงมือกับเหยื่อที่คิดว่าอ่อนแอ ไม่กล้าโวยวาย มีการข่มขู่ผู้เสียหายด้วย



เมื่อผู้เสียหายร้องเรียนและส่งหลักฐานคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุให้ต้นสังกัด แทนที่ผู้เสียหายจะได้รับการดูแลคุ้มครองจากหน่วยงาน กลับถูกกลั่นแกล้งและยัดเยียดความผิด ทำให้ผู้เสียหายกลายเป็นตัวปัญหาของหน่วยงานเสียเอง ในกรณีนี้คือระบบราชการทหาร



ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิงฯ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวคือการพยายามข่มขืน เป็นความผิดอาญาชัดเจน แต่พอผู้กระทำผิดเป็นทหาร กลับยกเว้นไม่นำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรม แต่กลับนำคดีขึ้นศาลทหาร ทั้ง ๆ ที่ศาลทหารไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญการจัดการคดีอาญา โดยเฉพาะกรณีที่มีความละเอียดอ่อนอย่างความรุนแรงทางเพศ ประกอบกับท่าทีเพิกเฉยไม่เร่งรัดดำเนินการของหน่วยงานทหารที่ผ่านมา



ทำให้คนในสังคมกังวลว่าการนำคดีนี้ขึ้นศาลทหารจะทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่มีการลงโทษตามสมควรแก่ความผิด หรืออาจถึงขั้นปกป้องผู้กระทำผิดก็เป็นได้ กลายเป็นว่าประเทศไทยกำลังใช้ระบบยุติธรรมอาญาสองมาตรฐาน ของพลเรือนทั่วไปแบบหนึ่ง ของทหารอีกแบบหนึ่ง ทั้งที่เป็นความผิดเดียวกัน ซึ่งระบบยุติธรรมสองมาตรฐานแบบนี้ควรถูกยกเลิกและแม้ล่าสุดผู้ก่อเหตุจะถูกไล่ออกจาราชการแล้ว กระบวนการอื่นตามกฎหมายก็ต้องเร่งเดินหน้าทำความจริงให้ปรากฏ คืนความเป็นธรรมให้ผู้เสียหายโดยเร็ว

คุณอาจสนใจ