รมว.ศึกษาฯ ยันกิจกรรมครูผู้อุทิศตนเพื่อการสอน ไม่ใช่นโยบายกระทรวง

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์กรณีโลกโซเชียลมีเดียมีการแชร์ กิจกรรมครูผู้อุทิศตนเพื่อการสอน โดยลงภาพและข้อความการเรียนการสอน เพื่อรับเกียรติบัตรออนไลน์ ยืนยันว่า กิจกรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นนโยบายของกระทรวง

โดยเลขา สพฐ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สพฐ.มีนโยบายชัดเจนว่าต้องการลดภาระงานอื่นๆของครูลงให้เหลือน้อยที่สุด เพราะอยากให้ครูมุ่งการสอนเด็กนักเรียนเป็นหลัก กิจกรรมที่เกิดขึ้น เกิดจากชมรมครูทางภาคใต้จัดกิจกรรมและกำหนดกันขึ้นมาเอง ส่งต่อกันในเฟซบุ๊ก ไม่ได้เป็นนโยบายจากกระทรวงหรือราชการ ทั้งนี้ครูบางส่วนมองว่า กิจกรรมที่เกิดขึ้น ไม่สอดรับกับสถานการณ์ กระทรวงไม่ได้มีนโยบายให้โพสต์กิจกรรมแบบนี้เพื่อปรับวิทยฐานะอยู่แล้ว สิ่งที่แชร์กันไม่อยู่ในเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะ นโยบายของกระทรวง คือประเมินตามหน้างาน การเรียนการสอนจริง ไม่ใช่การถ่ายภาพลงโซเชียลสร้างภาพ เพื่อเอาผลงาน ตอนนี้กระทรวงฯทราบที่มาแล้ว ว่าจุดเริ่มต้นมาจากที่ไหน จะติดตามทำความเข้าใจกับกลุ่มครูที่เริ่มทำกิจกรรมนี้ต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงประเด็นการเปิดเรียนในเทอมหน้า ว่ากระทรวงศึกษาธิการ ทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าเทอมหน้าจะเปิดเรียนตามปกติแบบออนไซต์ โดยจะเร่งการรับรู้และสร้างความเข้าใจให้ผู้ปกครองในเรื่องการฉีดวัคซีน มาตรการจะคล้ายกับปีก่อน แต่ต้องเปิดเรียนออนไซต์ เพราะเป็นการเรียนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด



โดยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องการเปิดเรียนในเทอมหน้า กระทรวงวางมาตรการหลักไว้ 3 ส่วนคือ 1.การรณรงค์ทำความเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนในเด็ก 2.พัฒนาทุกโรงเรียนให้มีความพร้อมด้านความปลอดภัย และ 3.มีแผนเผชิญเหตุ กรณีพบว่ามีผู้ติดเชื้อในโรงเรียนจะทำอย่างไร โดยปีนี้จะไม่ปิดทั้งโรงเรียน จะเลือกปิดเฉพาะบางห้องที่พบเด็กติดเชื้อ โดยกระทรวงฯยืนยันว่าจะเน้นการเรียนการสอนออนไซต์ เพราะเป็นแนวทางทางที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แถลงผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มุ่งเน้นสิ่งสำคัญเพื่อผู้เรียน ยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน ครู บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทุกคน ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 โดยให้ความสำคัญกับการทำงานที่รวมใจบุคลากรในสังกัด ศธ.ให้เป็นหนึ่งเดียว หรือทีมกระทรวงศึกษาธิการ เรียกว่า MOE One team เพื่อร่วมผลักดันคุณภาพการศึกษาไทย สร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจให้กับสังคม หรือ “TRUST” ที่พร้อมสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานในทุกระดับ



สำหรับโครงการที่ประสบความสำเร็จของกระทรวงศึกษาธิการ อย่างเช่น โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” กระทรวงศึกษาธิการ ค้นหา ติดตามเด็กตกหล่น ออกกลางคัน ทำให้พบว่าช่วงโควิด-19 ระบาดมีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษากว่า 120,000 คน ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการ สามารถนำเด็กกลับเข้าสู่ระบบการเรียนการสอนของกระทรวงศึกาธิการได้แล้วว่า 95,302 คน ส่วนที่เหลือกำลังเร่งให้เด็กกลับเขาระบบการศึกษา เพราะเป็นข้อต่อสำคัญของชีวิต แต่บางครอบครัวมีปัญหาที่ซับซ้อน ต้องอาศัยหลายหน่วยงานช่วยกันแก้ไขต่อไป

นอกจากนั้น กระทรวงศึกษาธิการ ยังให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษา ภายใต้การทำงานของศูนย์ MOE Safety Center เพื่อแก้ข้อร้องเรียนต่างๆ ในช่วงปีที่ผ่านมามีเรื่อวร้องเรียนเข้ามา 173 เคส ทางศูนย์สามารถเข้าไปแก้ไขจัดการได้สำเร็จแล้ว 168 เคส ซึ่งทุกเคสที่มีการร้องเรียนเข้ามา เจ้าหน้าที่จะเข้าไปดำเนินการทันทีใน 24 ชั่วโมงที่ได้รับเรื่อง



ส่วนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงฯได้กำหนดโมเดล การแก้ไขปัญหาบ้านพักครูทั้งระบบ สร้างความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายครู รวมทั้งเร่งแก้ปัญหาหนี้สินครู ด้วยการเจรจาลดดอกเบี้ยกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ ให้ลดดอกเบี้ยลง 1 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีเม็ดเงินกว่า 2,262 ล้านบาท กลับคืนสู่กระเป๋าครูกว่า 2 แสนคน



ในด้านของการช่วยเหลือช่วงโควิด-19 รัฐบาลได้ช่วยเหลือด้านภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา เพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา ด้วยเงินเยียวยาคนละ 2,000 บาท โดยมอบถึงมือเรียบร้อยแล้วถึง 11 ล้านคน พร้อมทั้งสนับสนุนผู้เรียนสายอาชีพ โดยปรับอัตราค่าเครื่องมือประจำตัวผู้เรียนอาชีวศึกษาต่อคน เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือได้อย่างเต็มศักยภาพ



สำหรับทิศทางในอนาคต จะให้ความสำคัญให้เด็กเข้ามาในระบบการศึกษา เพราะถือเป็นข้อต่อสำคัญของชีวิต ถ้าหลุดออกไปจากระบบการศึกษาแล้ว โอกาสจะกลับมาเรียนก็เป็นไปได้ยาก ดังนั้นข้อต่อชีวิตของระบบการศึกษาจึงสำคัญ เมื่อเด็กเข้ามาในระบบแล้ว ต้องทำให้เด็กสามารถคิดและวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ โดยต้องพัฒนาครูให้มีศักยภาพเพราะเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด