สังคม

ทนายตั้ม ร้อง ผบช.น. สอบ อดีตนายตำรวจยศ พล.ต.ต. แทรกแซงคดีปริญญ์

โดย nutda_t

22 เม.ย. 2565

71 views

เมื่อเวลา 09.00 น. ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ตรวจสอบกรณีที่อาจมีอดีตนายตำรวจยศพลตำรวจตรี เข้ามาแทรกแซงคดีการล่วงละเมิดทางเพศของอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง



ทนายษิทรา เปิดเผยว่า วันนี้ตนมายื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เนื่องจากทราบมาว่าอาจมีอดีตนายตำรวจยศพลตำรวจตรีเข้ามาแทรกแซงคดีด้วยการชักจูงผู้เสียหาย จึงต้องการให้มีการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือของแม่ผู้เสียหายรายแรก ซึ่งมีการพูดคุยกับอดีตนายตำรวจคนนี้ โดยต้องตรวจสอบด้วยว่า อดีตนายตำรวจมีการต่อสายไปพูดคุยกับคนของพรรคการเมืองใดด้วยหรือไม่ โดยอดีตนายตำรวจยศพลตำรวจตรีคนนี้ ปัจจุบันเกษียนอายุราชการไปแล้ว และเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดหนึ่งทางภาคตะวันออก โดยครอบครัวผู้เสียหายบอกว่ามีความเกี่ยวข้องเป็นลุงของผู้เสียหาย แต่ตนเชื่อว่าน่าจะเป็นแค่คนสนิทนับถือกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด



โดยสาเหตุที่ตนกังวลว่าจะมีการแทรกแซง เนื่องจากเมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา ที่ตนได้ไปเจอกับครอบครัวผู้เสียหาย ครอบครัวเปิดเผยกับตนเองว่า เวลามีอะไรก็จะปรึกษากับคนๆ นี้ตลอดเวลา และระยะหลังเวลาที่ตนในฐานะทนายความให้คำแนะนำอะไรไป ครอบครัวผู้เสียหายก็จะบอกว่า ขอปรึกษาอดีตนายตำรวจคนนี้ก่อน และสุดท้ายก็ไม่ทำตามคำแนะนำตนซึ่งเป็นสิ่งที่ควรต้องทำ ซึ่งผู้เสียหายเริ่มไม่ให้ความร่วมมือ ตั้งแต่วันที่ขอให้เดินทางไปศาลเพื่อคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา



และเท่าที่ทราบมา อดีตนายตำรวจ มีการติดต่อหาผู้เสียหายตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุถูกลวนลาม ก่อนที่จะมาพบตนในวันที่ 12 เม.ย. ซึ่งก่อนมาพบตนไม่ได้มีใครแนะนำให้ไปแจ้งความ ตนจึงแนะนำไป



ดังนั้น จึงต้องการให้ตำรวจตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่ในช่วงเกิดเหตุคือวันที่ 11 เม.ย. เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าอดีตนายตำรวจมีการพูดคุยกับแม่ผู้เสียหายและพรรคการเมืองจริง ก็ต้องดูต่อว่าคุยกันเรื่องอะไร และต้องสืบสวนสอบสวนด้วยว่ามีการพูดคุยเชิงข่มขู่บังคับขืนใจพยานให้มีการพูดในสิ่งที่ส่งผลเสียต่อคดีหรือไม่



โดยตอนนี้ผู้เสียหายยังไม่ถึงกับถอนคำให้การ และคดีของผู้เสียหายรายนี้ ก็ถือว่าตำรวจเก็บหลักฐานไปครบถ้วนแล้ว ทั้งการสอบปากคำเหยื่อ มีแท็กซี่ที่เป็นพยานแวดล้อม และมีภาพจากกล้องวงจรปิดที่ยืนยันว่าไปด้วยกันจริง แต่ตนต้องการป้องกันไว้ก่อน เพราะกังวลว่า หากคดีไปถึงชั้นอัยการ แล้วมีการให้สอบเพิ่ม ผู้เสียหายอาจให้การในลักษณะที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี



ส่วนผู้เสียหายอีก 14 รายที่เหลือ ที่มีการดำเนินคดีและมาเป็นพยานไปแล้วนั้น จากการพูดคุย ยืนยันได้ว่าขณะนี้ยังไม่มีท่าทีที่ไม่ดีว่าจะถูกใครแทรกแซง แต่หลังจากนี้ก็ต้องระวังมากขึ้น เพราะคาดว่าผู้ต้องหาสามารถตั้งหลักได้แล้ว ก็คงจะหากลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง



ทนายษิทรา ระบุด้วยว่า ตนไม่กังวลเรื่องการถูกฟ้องกลับ และก็จะไม่หยุดเคลื่อนไหว เพราะเรื่องนี้มีผู้เสียหายเยอะ ถือเป็นภัยสังคม หากไม่หยุดผู้ก่อเหตุในวันนี้ ต่อไปก็อาจจะมีคนโดนอีก



ทนายษิทรา เปิดเผยอีกว่า จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีพรรคการเมืองไหน ติดต่อมาขอข้อมูลเรื่องนี้จากตน แต่ส่วนของผู้เสียหายรายอื่นๆ ตอนนี้ก็มีติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะรายที่ 16 ซึ่งจะดำเนินคดีที่ประเทศอังกฤษ มีการประสานงานพูดคุยกับตนอยู่ตลอด ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานกว่า 10 ปีแล้ว ขณะที่ผู้เสียหายไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ แล้วผู้ก่อเหตุทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ก็ได้มีการให้คำสัญญากับผู้เสียหาย ว่าจะสามารถพูดคุยกับผู้บริหารเพื่อให้ผู้เสียหายได้เข้ามาทำงานในธนาคารดังกล่าวได้ จนสุดท้ายมีการหลอกล่อไปที่อะพาร์ตเมนต์ส่วนตัวและลงมือข่มขืน



ตอนนั้นผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีที่ประเทศอังกฤษทันที แต่ต่อมามีสภาพจิตใจย่ำแย่ ต้องย้ายที่อยู่ อีกทั้งยังมีผู้หญิงไทยที่เกี่ยวข้องกับสถานทูตมาบอกว่าไม่ให้ดำเนินคดี คดีจึงถูกหยุดไป แต่ตอนนี้ผู้เสียหายยังคงอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และสภาพจิตใจก็พร้อมแล้วที่จะดำเนินคดีต่อ หากพบว่าหลักฐานสำคัญ 2 อย่าง คือ เสื้อผ้าในวันเกิดเหตุและภาพจากกล้องวงจรปิด ยังสามารถตรวจสอบได้ ก็พร้อมให้ศาลดำเนินการทันที และผู้เสียหายมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินคดีต่อได้แม้ผ่านมานานเกิน 10 ปี เพราะเคยมีกรณีที่คดีถูกหยุดไว้นานกว่า 30 ปี ก็ยังสามารถกลับมาดำเนินการต่อได้ตามกฏหมายของประเทศอังกฤษ และผู้เสียหายยังได้ฝากย้ำมาด้วยว่า คดีนี้ยังไม่ได้มีการตัดสินว่าผู้เสียหายแพ้คดีตามที่ฝั่งของผู้ก่อเหตุมีการปล่อยข่าวออกมาแต่อย่างใด เพราะคดียังไม่ได้มีการตัดสิน



ส่วนรายอื่นๆ ที่ติดต่อให้ข้อมูลกับตนมาอยู่เรื่อยๆ ตนจะต้องคัดกรองก่อน เพราะกังวลว่าจะเป็นเกมทางการเมืองเพื่อมาทำลายความน่าเชื่อถือ ซึ่งมีผู้ใหญ่เตือนมาให้ระวัง โดยตนคิดว่าหากมีการโต้กลับก็คงจะเป็นวิธีนี้ เพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และกลายเป็นว่าเรื่องของผู้เสียหายทุกรายที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีน้ำหนักทั้งหมด



ทั้งนี้ ตนยังเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ บช.น. และตำรวจ สน.ลุมพินี เพราะเห็นการทำงานว่ามีการเก็บพยานหลักฐาน เรียกผู้เสียหายไปสอบปากคำโดยละเอียด รวมถึงการชี้จุดด้วย ซึ่งเป็นการทำงานอย่างรวดเร็วและรอบคอบ จึงไม่กังวลการทำงานของเจ้าหน้าที่ กลัวเพียงแค่การเข้ามาแทรกแซงของอดีตนายตำรวจยศพลตำรวจตรีเท่านั้น ที่จะเข้ามาโน้มน้าวให้ผู้เสียหายเปลี่ยนท่าทีไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับผู้ต้องหา



และหากมีการโน้มน้าวไปจนถึงขั้นต้องถอดถอนตนออกจากการเป็นทนายความในคดี ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ตำรวจได้รวบรวมเอาไว้แล้ว เพราะคดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นต่อหน้าธารกำนัล ต้องขึ้นศาล และตนเชื่อว่าหลักฐานที่มีตอนนี้เพียงพอแล้ว ส่วนหากผู้เสียหายจะไม่ติดใจเอาความ ก็มีประโยชน์ได้เพียงแค่ลดโทษ เพราะคดีนี้เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ