สังคม

สาวเจ้าของห้องช็อก! ผู้เช่าหนีไม่จ่ายเงิน แถมทำลายข้าวของพังเละ

โดย panisa_p

8 ม.ค. 2565

228 views

ทีมข่าวได้พูดคุยกับผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าของห้องคอนโดดังกล่าว เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ผู้เช่ารายนี้มาเช่าห้องของเธออยู่ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยติดต่อผ่านทางนายหน้า และมีกำหนดจ่ายค่าเช่าทุกวันที่ 5 ของเดือน จนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้เช่าได้ขอเลื่อนไปจ่ายค่าเช่าในวันที่ 10 แต่เมื่อถึงกำหนดก็ยังไม่จ่ายค่าเช่า และหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้อีกทุกช่องทาง เธอจึงทำการตัดไฟที่ห้องตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ผู้เช่าก็ยังไม่ติดต่อมา จึงตัดสินใจเข้าไปดูที่ห้องในวันที่ 29 ธันวาคม



พอเปิดประตูเข้าไป เธอบอกว่าตกใจมาก ทั้งมือสั่นและใจสั่น ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง โดยเธอพบว่าข้าวของในห้องเสียหายถูกทำลายเกือบทั้งหมด เตียงหัก ทีวีและโซฟามีร่องรอยการใช้มีดกรีด นาฬิกาหล่นลงมาแตก รูปภาพที่แขวนผนังไว้ก็ถูกทำลายเสียหาย ผ้าม่านถูกกรีดและเผาจนไหม้ รอยมีดสับเข้าที่ผนังห้อง ตู้เสื้อผ้าถูกรื้อชิ้นส่วนข้างใน และยังมีกองขยะเศษอาหารที่ถูกทิ้งไว้เต็มห้อง ซึ่งดูแล้วเป็นการตั้งใจทำลายข้าวของ ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ และเมื่อไปย้อนกล้องวงจรปิดดู ก็พบว่าผู้เช่าซึ่งเป็นชายหญิงคู่หนึ่งหอบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นแท็กซี่หนีออกไปตั้งแต่คืนวันที่ 13 ธันวาคม และยังพบว่าผู้เช่าได้ค้างค่าน้ำค่าไฟเอาไว้ตลอด 4 เดือน รวมเป็นเงินเกือบ 10,000 บาท



นอกจากนี้ ยังพบว่าภายในห้อง มีมีดตกอยู่บริเวณข้างเตียงนอน และบนชั้นวางของก็พบอุปกรณ์ซึ่งเป็นหลอดใสๆ คล้ายกับอุปกรณ์เสพยาเสพติด รวมถึงมีร่องรอยการใช้ถุงดำติดที่บริเวณหน้าต่างจนทึบสนิท เธอจึงคาดเดาว่าผู้เช่ารายนี้อาจจะมีพฤติกรรมการเสพยาเสพติดด้วย



ผู้เสียหาย ยังเล่าถึงความผิดปกติของผู้เช่ารายนี้ คือตอนที่ติดต่อมาเช่าห้อง ได้ต่อรองราคาเช่าจากปกติประมาณ 8,500-9,000 บาท เหลือ 6,500 บาท ซึ่งเธอก็ยอมลดราคาเช่าให้เพราะเห็นว่าอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด และผู้เช่าก็รีบร้อนขอเข้าอยู่ทันทีในวันนั้นเลย โดยนำมาแค่กระเป๋าเสื้อผ้าและกาน้ำร้อนเก่าๆ เท่านั้น ซึ่งภายหลัง เธอพบว่าของใช้ภายในห้องส่วนมากจะเป็นของใช้สำหรับพกพา เช่น ครีมแบบซอง เธอจึงเชื่อว่าผู้เช่ารายนี้มีพฤติกรรมเปลี่ยนย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอน่าจะไม่ใช่ที่แรกและก็ไม่ใช่ที่สุดท้าย



ส่วนสาเหตุที่ผู้เช่ามาทำลายข้าวของภายในห้องของเธอนั้น เธอเองก็สงสัยเหมือนกัน เพราะว่าไม่เคยมีปัญหากันมาก่อนและไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาจะติดต่อเช่าผ่านนายหน้ามาโดยตลอด แต่ส่วนตัวคาดว่าเป็นเพราะผู้เช่าอาจจะมีภาวะทางจิตใจ มีอารมณ์รุนแรงผิดปกติ เพราะทางคอนโดให้ข้อมูลว่า เคยเห็นชายหญิงคู่นี้ทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นวิ่งไล่กันลงไปข้างล่างบ่อยครั้ง และส่วนหนึ่งก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติดด้วย ประกอบกับช่วงจังหวะนั้นเธอได้ทักไปทวงถามค่าเช่าพอดี แต่ก็ยืนยันว่าไม่ได้พูดจาไม่ดีเพียงแค่ทวงถามตามกำหนดชำระเท่านั้น



ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุเธอได้ไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้แล้วที่ สน.หัวหมาก แต่ไม่ติดใจจะแจ้งความเพราะไม่มีเวลาติดตามเรื่องคดี ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นมูลค่ากว่า 60,000 บาทนั้น ก็ไม่ได้หวังจะเรียกร้องให้ผู้เช่ามารับผิดชอบ เพราะขนาดค่าเช่ายังไม่จ่าย ก็คงจะรับผิดชอบไม่ไหวซึ่งตอนนี้เธอได้เคลียร์ห้องเพื่อเตรียมให้ผู้เช่าคนใหม่ย้ายเข้ามาแล้ว แต่สำหรับชื่อของผู้เช่ารายนี้คือ นางสาววารียา ภารสถิตย์ เธอได้นำไปแจ้งกับทางคอนโดและเครือข่ายของคอนโดหลายๆ ที่เพื่อเตือนไม่ให้ใครปล่อยห้องให้เช่าอีก และเธอยังบอกด้วยว่า โล่งใจที่ผู้เช่าหนีไป เพราะไม่รู้ว่าถ้ายังปล่อยให้อยู่ต่อจะก่อเหตุอะไรขึ้นในห้องของเธอหรือไม่



โดยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอจึงต้องการจะเตือนภัยกับสังคม เพราะคิดว่าพฤติกรรมของผู้เช่าก็น่าจะย้ายไปหาที่อยู่ใหม่เรื่อยๆ จึงไม่อยากให้ใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก และอยากบอกกับผู้เช่ารายนี้ว่าหากจะย้ายไปอยู่ที่ไหน ก็ขอให้เห็นใจเจ้าของห้อง เพราะของของใคร ใครก็รักของบางชิ้นมูลค่าอาจไม่มากแต่ว่ามีคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งครั้งนี้เธอยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตัวเองที่ไม่ได้ถามผู้เช่าก่อนว่าทำงานอะไรเพราะที่ผ่านมาก็เจอแต่ผู้เช่าที่ดี ไม่เคยมีปัญหา โดยหลังจากนี้ก็จะต้องสกรีนประวัติของผู้เช่ามากขึ้น



ด้าน ทนายเกิดผล แก้วเกิด ให้ข้อมูลทางกฎหมายว่า กรณีแบบนี้ เจ้าของห้องสามารถดำเนินการเอาผิดกับผู้เช่าได้ทั้ง 2 ส่วน คือทั้งทางแพ่งและทางอาญา โดยในทางแพ่งก็คือการติดค้างค่าเช่า ผู้เช่าก็จะต้องชดใช้ค่าเช่าให้กับเจ้าของห้อง ส่วนในทางคดีอาญานั้น หากผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดี ผู้เช่าก็จะมีความผิดในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากพบว่าการหนีออกจากห้องเช่าไปได้มีการนำทรัพย์สินของผู้เช่าไปด้วย ก็จะมีความผิดในข้อหาลักทรัพย์ด้วย ทั้งนี้ หากผู้เสียหายไม่ติดใจไปแจ้งความด้วยตนเอง ก็ไม่สามารถดำเนินการเอาผิดได้เพราะถือว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดี

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ