เศรษฐกิจ

ไฟเขียวควบรวม 'ซีพี-เทสโก้โลตัส' ผงาดครองส่วนแบ่งร้านค้าปลีก 70% - 'ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว' หวั่นเสียเปรียบอำนาจต่อรอง

โดย

9 พ.ย. 2563

1.3K views

จากกรณี คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เสียงข้างมาก พิจารณาคำขอควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้น จำกัดและบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หลังใช้เวลารวม 3 เดือนเศษ โดยลงมติอนุญาตให้ควบรวมกิจการเมื่อวันที่ 2 พ.ย.2563 ครองส่วนแบ่งกว่า 70% ของตลาด ซึ่งทำให้เกิดข้อกังวลหลายประการ ทั้งในส่วนของทิศทางราคาสินค้า และผลกระทบกับซัพพลายเออร์ หรือกระทั่งผู้ค้ารายย่อย หรือโชห่วย
นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ เลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวว่า บอร์ดกรรมการการแข่งขันทางการค้า โดยคณะกรรมการเสียงข้างมากมีความเห้นว่าทั้งสองบริษัทสามารถควบรวมกิจการกันได้ ถือว่าจะมีอำนาจตลาดมากขึ้น แต่ยังไม่เป็นการผูกขาด และมันอาจจะส่งผลให้การแข่งขันลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค แต่ทั้งนี้เพื่อป้องกันการผูกขาด จึงได้อออกจ้อกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตให้รวมธุรกิจปฏิบัติ ดังนี้ 
1.ห้ามรวมธุรกิจกับผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในตลาดร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นเวลา 3 ปี แต่ไม่รวมถึงตลาดอีคอมเมิร์ซ
2.ให้บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าที่มาจากผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ประกอบด้วย กลุ่มสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรชุมชน สินค้าชุมชน สินค้าวิสาหกิจชุมชนหรือผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (โอทอป) และกลุ่มสินค้าอื่นๆของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และเทสโก้ สโตร์ส เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี 
3.ห้ามใช้ข้อมูลร่วมกันหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรือวัตถุดิบ โดยให้ถือว่าเป็นความลับทางการค้ามา
4.ให้บริษัท เอก-ชัย คงไว้ซึ่งเงื่อนไขของสัญญาและข้อตกลงระหว่างผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายสินค้าหรือวัตถุดิบรายเดิม ที่ทำสัญญาหรือข้อตกลงไว้ เป็นเวลา 2 ปี
5.ให้ซีพี ออลล์ และเอก-ชัย สนับสนุนเอสเอ็มอี ให้ได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น ด้วยการกำหนดระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า เป็นเวลา 30-45 วัน เป็นเวลา 3 ปี 
6.ให้ซีพี ออลล์ และเอก-ชัย รายงานผลประกอบธุรกิจ เป็นรายไตรมาสหรือในระยะเวลาที่กำหนด เป็นเวลา 3 ปี 
7.ให้กำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติทางการค้าที่ดี เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชน และถือปฏิบัติตามมาตรฐานดังกล่าว
ทั้งนี้ในมุมของซัพพลายเออร์ นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เผยว่า แต่ไหนแต่ไรธุรกิจค้าปลีกมีอำนาจต่อรองเหนือซัพพลายเออร์อยู่แล้ว ยิ่งเกิดการควบรวมกิจการแบบนี้ และเมื่อดูข้อกำหนด 7 ข้อข้างต้นแล้ว ส่วนตัวมองว่าจะสามารถปฏิบัติได้จริงหรือ และผู้ประกอบข้าวถุงตอนนี้เริ่มหันไปขายกันเองผ่านทางออนไลน์มากขึ้นแล้ว 
ด้านผู้จำหน่ายน้ำมันพืชรายใหญ่ ก็ออกมาระบุว่า ตอนนี้กังวลกันมากเหลือเกิน  เพราะเมื่อเกิดการควบรวมธุรกจิกันแล้ว บริษัทในเครือจะมีจำนวนสาขาร้านค้าปลีกทั้งสิ้นประมาณ 14,312 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งทำให้มีอำนาจต่อรองมหาศาล
ส่วนนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นกรณีนี้ว่า 7 ข้อกำหนดที่ออกมาควบคุมการควบรวมกิจการนั้นจะเห็นว่าเป็นเงื่อนไขเรื่อง “พฤติกรรม” เป็นส่วนใหญ่ และซอฟต์มากจนไม่ได้รู้สึกว่าจะป้องกันการใช้อำนาจเหนือตลาดได้จริง ทั้งเรื่องเพิ่มสัดส่วนสินค้า otop การลดระยะเวลาสินเชื่อการค้าซึ่งไม่ต่างจากเดิมมากนักสำหรับสินค้าเกษตร การคงเงื่อนไขตามสัญญาและข้อตกลงการค้าเดิมก็กำหนดระยะเวลาไว้เพียง 2 ปี แต่ไม่มีเงื่อนไขที่เกี่ยวกับเรื่องของขนาดภายหลังการควบรวมเลย และพฤติกรรมเหล่านี้ แม้ไม่มีการควบรวมก็สมควรกำหนดให้ทำอยู่แล้ว
นอกจากนี้นางสาวศิริกัญญา ยังระบุถึงขั้นว่า ผิดตั้งแต่แรกหรือไม่ที่ปล่อยให้มีการควบรวมกิจการกันได้ เหตุใดถึงไม่ปล่อยให้ตลาดมีทางเลือก อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมจาการซื้อหาสินค้าสามารถแจ้งมายังพรรคก้าวไกลได้ เพื่อที่จะดำเนินการรวบรวมต่อไป
ชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/IqW9S29crWo

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ