อาชญากรรม

บุกล็อคตัว 'ลุงบุญช่วย-ลูกชาย' หลักฐานชัดฮุบที่ธรณีสงฆ์ 3,800 ไร่ ต้นเหตุยิงตาย 3 ศพคาศาลจันทบุรี

โดย

10 มิ.ย. 2563

3.6K views

เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบังคับการปราบปราม เข้าจับกุมตัว นายบุญช่วย เจริญสถาพร อายุ 80 ปี และนายกิตติพงษ์ เจริญสถาพร อายุ 43 ปี บุตรชาย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาเบิกความเท็จต่อศาล, ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ และร่วมกันยักยอกทรัพย์

โดยขณะนั้นผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ยังคงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอจับกุมได้โดยละม่อม พร้อมกับเข้าตรวจยึดเอกสารหลักฐานบางอย่างจากภายในบ้านพักจำนวนหลายการไว้เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561 ทางมูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ได้ส่งตัวแทนเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิดกับนายบุญช่วย ซึ่งเป็นน้องชายของ พระกิตติวุฑโฒ ภิกขุ อดีตประธานมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ จากกรณียักยอกที่ดินในพื้นที่ ต.พลวง ต.ตะเคียนทอง อ.เขาคิชณกูฎ และบางส่วนใน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ของมูลนิธิ จำนวน 3,800 ไร่ ไปเป็นของตนเอง โดยมีการสวมสิทธิการครอบครอง และนำไปออกโฉนดโดยมิชอบ

หลังรับเรื่องทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าว จึงได้นำกำลังลงพื้นที่สืบตรวจสอบข้อเท็จจริง จนกระทั่งพบว่าเดิมทีที่ดินผืนนี้เป็นที่ดิน สปก. มีนายสมพล โกศลานันท์ เป็นผู้ครอบครอง กระทั่งประมาณปี 2513-2515 พระกิตติวุฑโฒ ได้มีการก่อตั้งมูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย พร้อมกับเปิดรับบริจาครวบรวมเงินของชาวบ้าน มาเป็นทุนซื้อที่ดินผืนดังกล่าวจากนายสมพล เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ของพระสงฆ์ ในราคา 12 ล้านบาท แต่จ่ายเงินไปเพียง 8 ล้านบาท อีก 4 ล้านบาท ยังไม่ได้ชำระ แต่ทางนายสมพล เห็นว่าจะนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ทางศาสนา จึงมอบที่ดินให้ไปใช้ประโยชน์ก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ที่ดินมาแล้ว พระกิตติวุฑโฒ ได้มอบหมายให้นายบุญช่วย ซึ่งเป็นน้องชายของตัวเองเป็นผู้ดูแลที่ดิน แต่เมื่อพระกิตติวุฑโฒ มรณภาพลงในปี 2548 นายบุญช่วย และบุตรชาย กลับเริ่มวางแผนที่จะเข้าครอบครองที่ดินผืนดังกล่าวมาเป็นของตนเอง

โดยในปี 2550 นายบุญช่วย ได้ไปยื่นเรื่องฟ้องร้อง นายเรวัฒิ โกศลานันท์ ลูกชายของนายสมพล ในฐานะเป็นผู้รับมรดก เพื่อให้โอนที่ดินดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง โดยมีนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความชื่อดัง เป็นทีมทนายความ กระทั่งศาลจังหวัดจันทบุรีมีคำพิพากษาให้ทายาทของนายสมพล โอนที่ดินดังกล่าวไปเป็นชื่อของนายบุญช่วย ตามที่ร้องขอ

จากนั้นปี 2554-2555 นายบุญช่วย ได้ไปยื่นขอเปลี่ยนที่ดิน สปก. เป็นโฉนดที่ดินเพื่อทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น ทาง น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท และ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลานของนายสมพล จึงเริ่มพบเห็นความผิดปกติ และเกิดความไม่พอใจ เพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางศาสนาตามวัตถุประสงค์เดิม จึงเกิดการฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นหลายคดี แต่เป็นทางฝ่ายทายาทที่แพ้คดีมาโดยตลอด

รวมถึงยังลุกลามบานปลายจนกลายเป็นมูลเหตุทำให้ พล.ต.ต.ธารินทร์ ตัดสินใจใช้อาวุธปืน กราดยิงใส่นายบัญชา, นางสุภาพร ภรรยานายบัญชา, นายวิชัย อุดมธนภัทร และนายวิจัย สุขรมย์ ทีมทนาย ภายในศาลจังหวัดจันทบุรี ขณะกำลังรอพยานฝ่ายจำเลยและรอผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดแรก เพื่อรับฟังการพิจารณาคดีการฟ้องร้องทางแพ่งปลีกย่อยเกี่ยวกับที่ดินผืนดังกล่าว

จนเป็นเหตุให้นายบัญชา และนายวิจัย เสียชีวิต ส่วนนางสุภาพร และนายวิชัย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่ พล.ต.ต.ธารินทร์ ภายหลังก่อเหตุก็ได้ถูกนายธนากร ธีรวโรดม เสมียนทนายนำอาวุธปืนของ ร.ต.อ.ขจร บรรจง ตำรวจประจำศาลจังหวัดจันทบุรี ยิงใส่จนเสียชีวิตด้วยเช่นกัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 พ.ย.2562 ที่ผ่านมา

ซึ่งภายหลังเกิดเรื่องขึ้นมาทำให้คดีดังกล่าวกลายเป็นที่สนใจจากสังคม ที่เกิดความไม่ชอบมาพากล ด้วยเหตุนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทางกองปราบจึงได้รับโอนสำนวนคดีทั้งหมดมาอยู่ในความดูแล พร้อมกับสืบสวนข้อเท็จจริงจนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานนำไปสู่การออกหมายจับ และจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ดังกล่าว

โดยหลังการเข้าจับกุมตัวและตรวจค้นหาพยานหลักฐานต่าง ๆ ภายในบ้านเสร็จสิ้นแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมก็ได้เร่งนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เดินทางต่อมายังกองบังคับการปราบปรามเพื่อทำการสอบสวนโดยทันที

พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เผยว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา มีรายงานจากชุดจับกุมว่าในการตรวจค้นที่บ้านพักขณะจับกุม ไม่พบเอกสารหลักฐานใดเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน แต่ในทางคดีนั้นทราบอยู่แล้วว่าผู้ต้องหาไม่มีเอกสารซื้อขาย

แต่เป็นการสร้างหลักฐานเท็จโดยฟ้องศาลเพื่อให้ได้เอกสาร นส.3 เป็นของตนเอง และโอนชื่อเป็นตนเองในปี 2553 ยอมรับว่าในการสร้างหลักฐานเท็จนั้นต้องมีคนร่วมกระทำผิดมากกว่า 2 ราย แต่บางคดีก็หมดอายุความไปแล้ว ไม่มีความหนักใจเพราะมีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุจริง

ขณะที่ น.ส.เขมจิรา บัณฑูรนิพิท อดีตภรรยาของ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ อดีตรองผู้บัญชาการจเรตำรวจ หลังทราบว่ามีการจับกุมนายบุญช่วย และนายกิตติพงษ์ และจะนำตัวมาที่กองปราบ ได้นำรูปภาพและอัฐิ พล.ต.ต.ธารินทร์ มารอพบกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พร้อมเปิดเผยว่า หลังต่อสู้คดีมาหลายสิบปี เมื่อนายบุญช่วย กับบุตรชายถูกจับกุม จึงอยากให้ทั้งสองยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นว่านายสมพล ได้ขายที่ดินให้พระกิตติวุฑโฒ ในนามมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ

"พล.ต.ต.ธารินทร์ ไม่ควรเสียชีวิต ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบและสื่อมวลชนที่ช่วยติดตามข่าวจนทำให้ความจริงปรากฎ ซึ่ง พล.ต.ต.ธารินทร์ จะไม่ตายฟรี สำหรับคดีที่นายบุญช่วย ฟ้องร้องตนเอง ฐานฟ้องเท็จเกี่ยวกับเรื่องการครอบครองที่ดินทั้งหมด 3 คดี ศาลชั้นต้นสั่งลงโทษจำคุกตนและทนายรวมทั้งหมด 7 ปี โดยรอลงอาญาไว้ก่อน ขณะนี้กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์"

นอกจากนี้ นายมนัส พวงลำเจียก ผู้จัดการมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ และนายชวาลิน พึ่งบุญ ณ อยุธยา ทนายความ มูลนิธิฯ ได้เดินทางมาที่กองปราบปรามด้วย เพื่อมาขอบคุณตำรวจที่คลี่คลายคดีให้กระจ่างต่อสังคม รวมทั้งขอบคุณ พล.ต.ต.ธารินทร์ ที่ยอมเสียสละชีวิตทำให้คดีนี้มีการตรวจสอบย้อนหลังจนทุกอย่างคลี่คลาย

ชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/yw9mGRgLTBo

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ