สรุปข่าว

ประเด็นข่าวรอบวัน 19 เม.ย.63 ประกาศใช้ 4 พ.ร.ก. เยียวยาผลกระทบโควิด-19

โดย

19 เม.ย. 2563

4.5K views

ประกาศใช้ 4 พ.ร.ก. เยียวยาผลกระทบโควิด-19
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.ก. จำนวน 4 ฉบับ และพ.ร.ฎ.จำนวน 1 ฉบับ โดยกฎหมายดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล และหน่วยงานรัฐอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนี้
1.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงินรวมไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท
2.พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท 
3.พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563 โดยกำหนดให้ในระยะกองทุนมีวงเงินไม่เกิน 400,000 ล้านบาท
4.พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563
5.พ.ร.ฎ.กำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2563
สารวัตรทหารคลั่งยิงพ่อตาดับ
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 19 เม.ย.63 พ.ต.ท.ปัญญาวัฒน์ คำศรี สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีเหตุชายถูกยิงเสียชีวิต ภายในบ้านเลขที่ 8/81 หมู่ 6 หมู่บ้านทรัพย์ยั่งยืน ซอย 5 ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วย พล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.เติมรัศ จินดาวัฒน์ ผกก.สภ.เมืองสมุทรปราการ กำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน มูลนิธิร่วมกุศลสมุทรปราการ เดินทางเข้าตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นทาวเฮาส์ 2 ชั้น ที่บริเวณชั้นที่สองหน้าห้องพระพบศพนายประเสริฐ สิงห์เรือง อายุ 60 ปี นายกโรตารี่เอราวัณ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าที่ คอซ้าย 1 นัด ชายโครงขวาและซ้ายที่ละ 1 นัด เหนือราวนมซ้าย 1 นัด แขน 2 นัด และที่กลางหน้าผากอีก 1 นัด รวม 7 นัด นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นบ้าน ที่บริเวณระเบียงหน้าบ้านพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่จำนวนหลายปลอก 
ส่วนผู้ก่อเหตุชื่อนายภูเบศร์ กลิ่นพราม อายุ 37 ปี ซึ่งเป็นพลทหารสังกัด พัน สห. มทบ. 14 หลังก่อเหตุได้หลบหนีไปขึ้นรถยนต์เก๋งกำลังจะขับหลบหนีออกมาทางปากซอย แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่สายตรวจขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาพอดี เจ้าหน้าจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าที่ล้อหลังข้างซ้ายจนยางระเบิด ก่อนเจ้าหน้าที่จะได้ทำการปิดล้อมเอาไว้ โดยที่นายภูเบศร์ ผู้ก่อเหตุนั่งอยู่ในรถไม่ยอมออกมา เจรจาผ่านเครื่องขยายเสียงอยู่นานกว่า 4 ชั่วโมงแต่ผู้ก่อเหตุก็ยังไม่ยอมมอบตัว เจ้าหน้าจึงได้ประสานไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ก่อเหตุและพี่สาวให้เดินทางมาร่วมในการเกลี่ยกล่อม ไม่นานจึงยอมมอบตัว
โดยจากการสอบถาม ทราบว่าผู้ก่อเหตุไม่ถูกกับพ่อตามาเกือบ 2 ปีแล้ว และเคยข่มขู่ว่าจะยิงมาหลายครั้ง จนวันนี้ได้ขับรถมาที่บ้าน ปีนขึ้นชั้น 2 ยิงพ่อตาเสียชีวิตต่อหน้าลูกคนโตและแม่
'กู้ภัยร่มไทร' แจงไม่ได้ทิ้งศพกลางถนน เพียงทำตามขั้นตอน ยันมี จนท.เฝ้าตลอดเวลา
จากกรณีที่มีภาพเหตุการณ์รถเจ้าหน้าที่อาสากู้ชีพทิ้งศพแล้วขับออกจากที่เกิดเหตุ จุดเกิดเหตุบริเวณตรงข้ามตลาดเซาะกราว ถนนสุเหร่าคลอง 1 ใกล้แยกลำกะโหลก เหตุเกิดเมื่อช่วงหัวค่ำของวานนี้ 
ทีมข่าวครอบครัวข่าว 3 ได้ลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านในจุดเกิดเหตุ โดยนายน้อย เพื่อนร่วมแคมป์พักคนงาน ของนายสุรเดช วงศ์สวรรค์ ผู้ป่วยที่เสียชีวิต รายนี้ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุได้นั่งพูดคุยกับผู้ตายอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามแคมป์พัก ก่อนที่ผู้ตายจะเดินเข้าไปที่แคมป์พักคนงงาน และล้มลงหัวกระแทกพื้น และหมดสติไป ซึ่งชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เข้าไปช่วยเหลือปั้มหัวใจนายสุรเดช ก่อนที่จะมีการโทรติดต่อ เจ้าหน้าที่ให้เข้ามาช่วย ซึ่งในเวลาต่อมา มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทรเข้ามาในจุดเกิดเหตุ และกันชาวบ้านให้ออกห่างรวมถึงคนที่ทำการปั้มหัวใจอยู่เช่นกัน ก่อนที่ในเวลาประมาณ 2-3 นาที ต่อมาจะมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร เข้ามาเริ่มปั้มหัวใจ และยกผู้ตายขึ้นรถออกจากจุดเกิดเหตุไป 
ซึ่งก่อนเคลื่อนย้ายได้มีเพื่อนของนายสุรเดช ติดรถไปพร้อมเอกสารด้วย แต่มีการจอดรถให้เพื่อนผู้ป่วยรายนี้ลงจากรถที่บริเวณกลางซอย และนำร่างนายสุรเดชไปพร้อมกับเอกสารการรักษาตัว และยารักษาโรค ที่มีการเรียกหาในตอนแรกไปเท่านั้น ก่อนที่ต่อมาประมาณ 20 นาที จะมีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างขี่เข้ามาบอกคนในซอยว่านายสุรเดช เสียชีวิตแล้วจึงได้รวมตัวกันออกไปดูและพบว่าร่างนายสุรเดช ถูกนำลงมาวางกองกับพื้น และคลุมผ้าไว้ ส่วนเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ที่เข้ามารับนายสุรเดชออกจากซอยไป ไม่พบว่าอยู่ในจุดเกิดเหตุแล้ว เหลือเพียง รถของอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเพียงคันเดียว ซึ่งชาวบ้านและเพื่อนคนงานที่อยู่ในจุดเกิดเหตุยืนยันว่าไม่มีการกดดันเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ให้เร่งนำร่างผู้ป่วยออกไป และไม่มีใครเข้าไปยุ่งหรือวุ่นวายเพราะต้องการให้ผู้มีความรู้ช่วยเหลือนายสุรเดช ซึ่งสำหรับชาวบ้านในซอยล้วนคิดเหมือนกันว่า หากคิดว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ไม่ควรนำตัวนายสุรเดชออกไปจากจุดเกิดเหตุ ควรช่วยปั้มหัวใจรอผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่สามารถช่วยได้เข้ามาดำเนินการ เพราะการนำตัวนายสุรเดชออกไปและนำไปทิ้งไว้ข้างถนนแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ เพราะนายสุรเดชเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์จรจัด 
ขณะที่ในช่วงบ่ายที่ผ่านมา มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร มีการเรียก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในส่วนของทางมูลนิธิกู้ภัยร่มไทร พร้อมประสานขอความร่วมมือในการเชิญเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้อง ทั่งตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ชีพนพรัตน เข้ามาหารือและตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์นี้ ก่อนที่ภายหลังการประชุม นายวิชาญ มีนชัยนนท์ ประธานมูลนิธิกู้ภัยร่มไทร จะแถลงต่อสื่อมวลชน 
ยืนยัน ว่าทางมุลนิธิกู้ภัยร่มไทร ไม่ได้มีทิ้งศพแต่อย่างใด ซึ่งสำหรับเหตุการณ์นี้ ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 18.49 มูลนิธิกู้ภัยร่มไทรได้รับจาก สน.คันนายาว ให้เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยภายในซอยดังกล่าว ซึ่งเมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุ ก็พบว่ามีรถและอาสาสมัครของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อยู่ในจุดเกิดเหตุแล้ว และเมื่อทีมเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทรเข้าไปตรวจสอบสัญญาณชีพ ก็พบว่ายังมีอยู่แต่อ่อนจึงเริ่มขั้นตอนการปั้มหัวใจ 
ก่อนจะประสานกับทาง กู้ชีพนพรัตน เพื่อขอเคลื่อนย้าย ออกจากจุดเกิดเหตุ เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุแรกคับแคบทางเข้าออกของรถยนต์ลำบาก ไม่สะดวกต่อการช่วยเหลือ จึงมีการเคลื่อนย้ายออกมา และทางมูลนิธิกู้ภัยร่มไทร เมื่อมาถึงจุดที่สอง ได้ทีการจอดรถและประเมินอาการและล่วยเหลือโดยการปั้มหัวใจ อยู่บนรถก่อนที่จะเคลื่อนย้ายลง เพราะไม่สามารถใช้พื้นที่บนรถได้สะดวก และมีการช่วยเหลือปั้มหัวใจ ในจุดที่สอง ทั้งจากมูลนิธิกู้ภัยร่มไทร และเจ้าหน้าที่กู้ชีพนพรัตน นานกว่า 35 นาที 
ตัวแทนมูลนิธิกู้ภัยร่มไทรยังระบุอีกว่า หากดูวงจรปิดตั้งแต่แรกจนจบ จะเห็นว่าเป็นไปตามที่ชี้แจง ซึ่งตลอดระยะเวลาการช่วยเหลือตั้งแต่จุดแรกและจุดที่สอง มีอาสาสมัครของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่มีเป็นมูลนิธิที่มีหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตไปชันสูตร อยู่ด้วยตลอด จะเห็นได้จากการประสานข้อมูลกับทางต้นสังกัดตลอดเวลา และทางจุดเกิดเหตุไม่มีใครระบุว่า ผู้ตาย เป็นผู้ป่วยโควิด-19 แต่มีอาสาสมัครของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยังไม่ทราบชื่อมีการแจ้งไปที่ต้นสังกัดว่า เป็นผู้ป่วยโควิด -19 ทำให้เกิดขั้นตอนการตรวจสอบของระบบมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทำให้เกิดการล่าช้าในการส่งรถมาเคลื่อนย้าย เพราะต้องรอการยืนยันอีกครั้ง 
จนทำให้ภาพที่ออกไปสู่สายตาประชาชนกลายเป็นว่า มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ทิ้งศพไว้ข้างทาง แต่ในข้อเท็จจริง หลังจากมีการยืนยันการตายแล้ว ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ยังคงอยู่ในเกิดเหตุแต่แค่เคลื่อนรถให้ออกห่างออกมาตามขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติเพราะมีอาสาสมัครของมูลนิธิที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการเคลื่อนย้ายอยู่ในจุดเกิดเหตุแล้ว เพียงแค่อยู่ในมุมที่วงจรปิดไม่ได้บันทึกภาพไว้ และที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิต เพราะการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวินไปชันสูตร จะต้องดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หรือมูลนิธิร่วมกตัญญู เพียงสอง มูลนิธิเท่านั้น มูลนิธิกู้ภัยร่มไทรทำได้เพียงช่วยเหลือเบื้องต้น หากผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บเสียชีวิตแล้ว ต้องส่งต่อให้ เจ้าหน้าที่ของมูลที่มีหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น 
ด้าน พันตำรวจเอก วาสุเทพ คงกล่อม ผู้กำกับการ สน.คันนายาว ระบุถึงคดีนี้ว่า จากการตรวจสอบยังไม่พบข้อผิดสังเกตุในคดี จากการตรวจสอบก็พบว่าผู้ตายมีอาการป่วยมีประวัติรักษาตัวอยู่ก่อนหน้านี้นานหลายเดือน และจากจุดที่มีการรับตัวผู้ตายมา ณ จุดแรกผู้ตายยังมีสัญญาณชีพ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร จึงมีการเคลื่อนย้ายตามขั้นตอน แต่เมื่อขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอาการแย่ลงจึงต้องมีการส่งต่อ ให้เจ้าหน้าที่กู้ชีพนพรัตน ดำเนินการช่วยเหลือต่อ แต่ผู้ป่วยไม่มีสัญญาณชีพและเสียชีวิต ในทางคดีอาญาจึงถือว่า จุดที่มีการระบุว่าเสียชีวิตถือว่าเป็นจุดเกิดเหตุตามคดีอาญา ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบข้อผิดสังเกตุใดๆ ส่วนประเด็นทางสังคมตอนนี้ อาจเพราะยังไม่ทราบว่าแต่ละมูลนิธิมีขั้นตอนและอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานต่างกันอย่างไร จึงเป็นประเด็นทางสังคมอยู่ ณ ตอนนี้
กลุ่มสายการบินขอพบ 'อุตตม' จ่อหารือมาตรการเยียวยาเงินเดือนพนักงาน 
สายการบินขอพบรัฐมนตรีคลังพรุ่งนี้ หารือมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด เผยหากรัฐหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ จะช่วยลดการปลดพนักงานได้ราว 30,000-50,000 คน ขณะที่ 8 สายการบินเตรียมถกกันเอง 22 เม.ย. หามาตรการฝ่าวิกฤต พร้อมขอความชัดเจนรัฐ พฤษภาคมนี้ เปิดบินได้หรือไม่
นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ ผู้ประกอบการสายการบิน จะขอเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามมาตรการช่วยเหลือ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ทำหนังสือขอให้รัฐช่วยจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สายการบินนำไปจ่ายเงินเดือนพนักงาน ซึ่งจะช่วยลดการเลิกจ้างได้ถึง 30,000-50,000 คน
รวมถึงต้องการขอความชัดเจน เรื่องการอนุญาตให้ทำการบินในเดือนพฤษภาคม 63 ซึ่งต้องมีความชัดเจนใน 1 สัปดาห์ เพราะหลายสายการบินรวมถึงไทยแอร์เอเชีย มีแผนจะทำการบิน เส้นทางในประเทศ บางเส้นทาง 1 พฤษภาคมนี้ และในวันพุธที่ 22 เมษายนนี้ ทั้ง 8 สายการบิน จะประชุมหารือร่วมกัน เพื่อออกแถลงการณ์มาตรการที่จะปฏิบัติต่อไปในอนาคต
รมว.พลังงาน เตรียมหารือมาตรการช่วยเหลือค่าไฟ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ และ ข้อสงสัยเกี่ยวกับอัตราค่าไฟที่ปรับสูงขึ้นในช่วงเดือน เม.ย และมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง
โดยระบุว่า เบื้องต้นที่ค่าไฟสูง อาจมาจากสภาพอากาศร้อนจัดและการอยู่ทำงานที่บ้านตามมาตรการของรัฐ ซึ่งกระทรวงพลังงานได้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบด้วยการลดค่าไฟ 3% สำหรับผู้ใช้ไฟทุกประเภทเป็นเวลา 3 เดือนไปแล้ว และกระทรวงพลังงาน จะมีการหารือกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการลดความเดือดร้อนจากการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นของประชาชนเพิ่มเติม ซึ่งแนวทางที่ได้จะนำเสนอต่อ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ต่อไป
ขณะที่ นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระบุว่า สาเหตุที่ค่าไฟสูงขึ้นจนผิดสังเกตุนั้น คงต้องดูว่าเกิดขึ้นในพื้นที่ใดบ้าง บ้านเลขที่อะไร เพื่อจะได้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยหากพบว่าค่าไฟแพงขึ้นผิดปกติ สามารถแจ้งเรื่องไปยังสำนักงานการไฟฟ้าในพื้นที่ได้
ด้านเฟซบุ๊กเพจ "โธ่ ชีวิตพนักงานไฟฟ้า" ได้โพสต์ชี้แจงสาเหตุค่าไฟพุ่งในหน้าร้อน โดยยืนยันว่าการไฟฟ้าฯ ไม่ได้กระทำการใดๆ กับมิเตอร์ของลูกค้า แต่สิ่งที่ทำให้มิเตอร์ไฟขึ้นหน่วยเร็วขึ้น มาจากสภาพอากาศที่ร้อนส่งผลให้เครื่องคอมเพลสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศที่อยู่นอกบ้าน ทำงานหนักขึ้น และกินไฟมากขึ้น
สำหรับบ้านที่มีปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้าส่วนมาก จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้แก่ 1. เครื่องปรับอากาศ พร้อมคอมเพลสเซอร์ 2. เครื่องฟอกอากาศ 3. พัดลมไอน้ำ และ 4. ตู้เย็น ยิ่งใส่ของเยอะ ก็ยิ่งใช้ไฟเยอะ

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ