สังคม

ศบค.พบผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวนับพันราย - รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเผยดำเนินคดีไปแล้ว 623 คน

โดย

8 เม.ย. 2563

526 views

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวถึงสถิติการจับกุมในมาตรการเคอร์ฟิว ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ วันที่ 6-7 เม.ย. 63 มีผู้ออกนอกเคหสถานเพิ่มขึ้นเป็น 1,217 คน มั่วสุมรวมกลุ่มชุมนุม 76 คน ตลอดสี่วันที่ผ่านมาแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยเรื่อย ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ ต้องขอร้องประชาชน และยืนยันว่าเราจะเข้มมาตรการมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับสถิติที่ว่านี้ หากประชาชนให้ความร่วมมือเราคงไม่ต้องมีมาตรการอะไรที่เข้มไปกว่านี้
ตักเตือนไปแล้ว 246 คน ดำเนินคดี 1047 คนรวม 1293 คน ซึ่งก็มีแนวโน้มสูงด้วยเช่นกัน ตัวเลขดูไม่ดี ขอให้ช่วยกัน เพราะเมื่อออกไปข้างนอกตัวท่านก็มีความเสี่ยงที่จะติดโรคเพิ่มขึ้น
นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงภาพรวมทั้งประเทศในการดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตั้งแต่วันที่ 3-6 เมษายน พบมีการฝ่าฝืนทั้งสิ้น 438 คดี จำนวนผู้ถูกดำเนินคดี 623 คน โดยทุกคดีพนักงานอัยการ ได้มีคำขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก ซึ่งศาลได้ใช้ดุลยพินิจลงโทษจำเลยตามคำขอของพนักงานอัยการ เช่น ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ลงโทษจำคุก 2-4 เดือน โดยไม่รอการลงอาญา และ ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี จำคุก 15 วัน เปลี่ยนเป็นกักขังแทน 15 วัน
ในสถานกักกันที่กรมราชทัณฑ์ จัดเตรียมไว้โดยแยกส่วนกับนักโทษในคดีทั่วไป คดีที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุด ได้แก่ การออกนอกเคหะสถาน โดยช่วงอายุที่กระทำผิดมาที่สุด อายุระหว่าง 20-35 ปี รองลงมาคือ ช่วงอายุระหว่าง 35-55 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กระทรวงสาธารณสุขให้ระมัดระวังในการแพร่เชื้อ โดยทุกคดีพนักงานอัยการได้ส่งฟ้องศาลพิจารณาหมดแล้ว นอกจากนี้ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจากผู้ที่ฝ่าฝืน ซึ่งจะช่วยให้ยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด -19 ได้
จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวเมื่อช่วงเวลาประมาณ 22.30 น.(6 เม.ย.63) ในพื้นที่ จ.มุกดาหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม กลุ่มหญิง-ชายฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินการห้ามออกจากเคหสถานเวลาที่กฎหมายกำหนดแต่ยังมีกลุ่มคนไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยสามารถจับกุมได้จำนวน 8 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้เมาสุราและเสพยาเสพติด นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบหญิง 2 รายกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นลูกผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก
ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จุดตรวจ 4 แยกไฟแดงเมืองใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบพบ นส.อภิญญา ขำสุภาพ อายุ 19ปี และ นส.เปรมประภา เอกภาพันธ์ อายุ 29ปี ขับรถ BMW สีดำ หมายเลขทะเบียน 5 กธ 1986 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นคนขับมีอาการคล้ายคนเมาสุราโวยวายด่าทอเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พอใจที่ตำรวจตรวจสอบ โดยอ้างว่าตนเองเป็นลูกของผู้ว่าฯอยู่จังหวัดพิษณุโลก เจ้าหน้าที่ จึงแจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 2 รายฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อช่วงเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันที่ 7 เมษายน 2563 นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจประชุมมอบนโยบายส่วนราชการ สถานการณ์โควิด19 ก็ได้โพสต์ชี้แจงผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัว ใจความว่า ลูกของใครไม่สำคัญ ลูกชาวบ้าน ลูกกำนัน #ลูกผู้ว่า ถ้าผิดกฏเคอร์ฟิว # ให้ลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุดไม่มีข้อยกเว้นครับ #กฎหมายต้องเป็นกฎหมายไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครครับ ซึ่งก็มีประชาชนเข้ามาโพสต์แสดงความเห็นใจ และให้กำลังใจผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกเป็นจำนวนมาก
ล่าสุดศาบลจังหวัดมุกดาหารมีคำพิพากษาในคดีที่ยื่นฟ้อง นส.เปรมประภา เอกภาพันธ์ ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้รับสารภาพลดกึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี 
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/pnB9CGRqpNc

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ