อาชญากรรม

บิ๊กโจ๊กปัดจัดฉากถูกดักยิง ชี้ถ้าไม่ใช่คนมีอำนาจคงไม่กล้าทำแบบนี้

โดย

9 ม.ค. 2563

258 views

จากกรณีเหตุการณ์เมื่อค่ำวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา คนร้ายลอบยิงปืนเข้าใส่รถยนต์ ของ พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก จำนวนถึง 8 นัด หลังจอดรถเข้าไปใช้บริการที่ร้านนวดแห่งหนึ่งในซอยสาริกา ก่อนคนร้ายจะขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าคลิกสีดำหลบหนีไป

โดยความคืบหน้าเมื่อเวลา 12.30น. พลตำรวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมสอบปากคำ พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ซึ่งเดินทางมาให้ปากคำ ที่สถานีตำรวจนครบาลบางรัก

ซึ่งการเดินทางมาในวันนี้บิ๊กโจ๊กได้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมตริกซ์  มามอบให้กับพนักงานสอบสวน พร้อมกล่าวยืนยันว่าตนไม่ได้สร้างภาพ และสร้างสถานการณ์ เพราะไม่มีมีมูลเหตุจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะรถก็เสียหาย และตนเป็นผู้ถูกกระทำ

ซึ่งเหตุการณ์ยิงรถครั้งนี้เหมือนเมื่อสองปีก่อน ที่มีเหตุคนร้ายยิงรถของนักข่าว และจนขณะนี้ก็ยังจับไม่ได้ ทำให้เชื่อว่าเป็นแผนประทุษกรรมเดียวกัน คนวงในก็ต้องรู้ว่าใครยิง

ส่วนประเด็นที่มองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งจากโครงการไบโอเมตริกซ์นั้น เมื่อครั้งที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้เซ็นต์หนังสือ 2 ฉบับ ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ยกเลิกโครงการดังกล่าวเนื่องจากล่าช้าและส่งงานไม่ทัน อีกทั้งยังเปลี่ยนผู้บัญชาการมาถึง 2 คนก็ไม่แล้วเสร็จ และไม่มีใครดำเนินการยกเลิกโครงการดังกล่าว ถ้าตนไม่พบความผิดจริงก็ไม่เซ็นต์ยกเลิก เพราะบริษัทคู่สัญญาจะมาฟ้องตนได้ เพราะตนทำตามหน้าที่

 โดยก่อนนี้ มีคนประสานมานัดพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายท่านหลายครั้งแต่ตนไม่ได้ไป อีกทั้งยังมีรอง ผู้บัญชาการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองบางรายถูกย้ายไปทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากถูกกดดันให้เซ็นต์ตั้งกรรมการตรวจสอบวินัยกับตนเอง แต่ตำรวจนายนี้ไม่ยอมเซ็นและขอทำตามระเบียบก็ถูกย้าย ยืนยันว่าทุกขั้นตอนที่ตนดำเนินการสามารถตรวจสอบได้

โดยตนระบุอีกว่า สำหรับบุคคลที่ต้องสงสัยนั้น ตนพอมีข้อมูลแต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร หากไม่ใช่คนมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ ถ้าตนเป็น ผู้บัญชาการ และจับคนร้ายไม่ได้ก็ต้องออกมารับผิดชอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และที่ผ่านมาในหลายคดีก็มีตำรวจเก่งๆ ย้ายเข้ามาสังกัดในนครบาล แต่คดีของตนเข้าสู่วันที่ 3 แล้วแต่ยังไม่มีวี่แวว จะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้อย่างไร ทั้งยังเกิดในใจกลางเมืองด้วย เมื่อตนยังเป็นตำรวจ ยังสามารถตามจับกุมคนร้ายคดีเชอร์รี่ฆ่าหั่นศพที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชาได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

ส่วนทางด้าน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดคุยอะไรกับตน ทั้งท่านก็ไม่ได้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของผู้บัญชาการปัจจุบัน สำหรับเหตุการณ์ที่มาเกิดในช่วงนี้ คาดว่าใกล้ถึงเวลาที่ ป.ป.ช.จะเรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องกับโครงการไบโอเมตริกซ์ พร้อมประสานมายังตนบ้าง แต่ยังไม่ระบุวัน ซึ่งพยานปากอื่นที่ไม่ได้เซ็นต์รับ คงไม่เสียขวัญเพราะถูกย้ายหมดแล้ว ยืนยันว่าการออกมาในครั้งนึ้ ไม่ได้ท้าชนใคร เพราะต้องการให้ความจริงปรากฎ เนื่องจากโครงการไบโอเมตริกซ์เป็นสมบัติชาติ และมีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท 

ส่วนการที่ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ไปร้องเรียนกับ ป.ป.ช.นั้นก็เป็นช่วงหลังจากตนเซ็นต์หนังสือเอง และไม่ได้บอกใคร ก็ถือว่าทนายตั้ม ทำหน้าที่ในภาคประชาชน อาจมีคนอาจพอใจหรือไม่ก็ได้ แต่ตนก็ต้องยึดผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติเป็นหลัก ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงตำแหน่ง หรือกลับไปดำรงตำแหน่งด้วยวิธีการแบบนี้ แม้จะอยากกลับ เพราะตนเป็นตำรวจอาชีพ กลับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอทำหน้าที่ข้าราชการให้ดีที่สุด

ชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/U-g63tKP-_U

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ