เลือกตั้งและการเมือง

ศาลฎีกาสั่งจำคุก 2 ปี 'เบญจา หลุยเจริญ' รมช.คลังสมัย 'ยิ่งลักษณ์' ช่วย 'โอ๊ค-เอม' เลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป

โดย

27 ธ.ค. 2562

555 views

ศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำคุก นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รัฐมาตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลัง  / น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย / น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย / นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี  เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนละ 2 ปี ฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ เป็นเวลา 2 ปี

โดยศาลฎีกาพิพากษาแก้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม),83 จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม), 86 ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จะได้ทำการควบคุมจำเลยทั้งหมดส่งทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที

สำหรับคดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ได้ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รัฐมาตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร พร้อมพวก ได้แก่

น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1-5 ต่อแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในศาลอาญา

ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 157 กรณีพวกจำเลยได้ช่วยเหลือนายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งสองต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร

จากการที่ทั้งสอง ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ทำให้กรมสรรพากร และส่วนราชการได้รับความเสียหาย

โดยคดีนี้ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 1- 4 คนละ 3 ปีฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนฯโดยไม่รอลงอาญาจำเลยทุกคน ก่อนได้รับการประกันตัว

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://youtu.be/X3LiQmRw5Z0

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ