สังคม

สาวงง! ถูกเชิญให้ออกจาก ร.ร.ผู้ช่วยพยาบาล เพราะเป็นโรคซึมเศร้า อ้างกลัวไปทำร้ายผู้ป่วย

โดย

27 พ.ย. 2562

11.5K views

จากคดีสะเทือนขวัญ กรณีนายศิระ สมเดช หรือกาย อายุ 20 ปี ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.ยุรีย์ เถาวัลย์ หรือ แม่ติ๊ก อายุ 42 ปี และหั่นอวัยวะ ออกเป็น 5 ส่วน ไปแช่ตู้เย็น เหตุเกิดในบ้านพัก และใช้อาวุธปืน ยิงตัวเองเสียชีวิตในเวลาต่อมา จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นข่าวดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด มีนักศึกษาแพทย์สาวรายหนึ่ง ได้ออกมาทำคลิปบน Youtube พร้อมเล่าเรื่องราวว่าป่วยโรคซึมเศร้า เมื่อมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ดังกล่าวขึ้น ทางโรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล จึงไล่เธอออกด้วยเหตุที่ว่ากลัวว่าจะไปทำร้ายคนอื่นเหมือนที่ปรากฏในข่าว
นางสาวศันสนีย์  Youtube : sansanee nakbuaphan เล่าว่าตนเรียนจบปริญาตรีทำงานมาได้สักพัก ตนรู้สึกเครียดกับงาน และคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า จึงไปพักรักษาตัวได้หนึ่งปี จนอาการดีขึ้น ไม่ทำร้ายตัวเอง เลยคิดอยากทำอาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝัน จึงตัดสินใจมาเรียนที่โรงเรียนผู้ช่วยพยาบาล เริ่มต้นตนสมัครเรียนผ่านอินเตอร์เน็ตไม่มีให้ระบุโรคประจำตัว พอตนมาที่โรงเรียน ทางโรงเรียนให้เอกสารมาระบุโรคประจำตัวตนจึงระบุว่า ตนเป็นโรคซึมเศร้า ต่อมาตนได้นำใบรับรองแพทย์มายื่นให้ โดยทางอาจารย์ได้ถามถึงตัวยาว่ามีอะไรบ้างตนจึงนำมาให้ดู และอาจารย์จึงถ่ายรูปตัวยานั้นไว้เพื่อให้อาจารย์แพทย์เป็นคนดูว่ายาแรงแค่ไหน 
ทั้งนี้ตนได้จ่ายค่าเรียนทั้งหมดและมาเรียนตามปกติ และได้คะแนนดีถึงขั้นท็อปของห้อง แต่หลังจากที่มีข่าวผู้ป่วยโรคซึมเศร้าฆ่าหั่นศพแม่ตัวเอง ตนได้ถูกทางสถาบันแห่งนี้เรียกตัวไปพูดคุย บอกว่าอาจารย์จำเป็นต้องให้ออกบอกว่าตนไม่พร้อมที่จะเรียน มีอาการง่วงตลอดและโรคที่เป็นอยู่ไม่มีใครจ่ายงาน และกลัวว่าตนจะไปทำร้ายคนไข้ และได้โทรไปบอกคุณแม่ของตนว่าจำเป็นต้องให้ออกเพราะกลัวว่าจะไปทำร้ายคนอื่นเหมือนที่ในข่าวออก ตนจึงรู้สึกผิดหวังเพราะน่าจะเห็นว่าตนเรียนดีมาตลอดแต่กลับเชื่อข่าวและเอามาตัดสิน เราเรียนดี ปฎิบัติงานดีมากตลอด 
แต่ยอมรับว่ามีบางช่วยที่มีเอฟเฟคจากยาบางช่วง บางขณะเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลร้ายกับใคร และตอนนี้ตนเป็นปกติทุกอย่างแล้ว ไม่เคยคิดทำร้ายตัวเองและไม่เคยทำร้ายใครทำไมถึงต้องตัดสินตนแบบนี้ ส่วนที่มีอาการง่วงนั้นตนบอกว่าเป็นช่วยที่ตนต้องสอบจึงต้องท่องหนังสือจนดึกจึงทำให้ตนมีการหลับในห้องเรียน ตอนนี้ตนก็จะสู้ต่อไปและหาที่เรียนต่อ อยากจะบอกกับสังคมว่าคนเป็นโรคนี้ต้องการแค่โอกาส คนส่วนมากไม่ให้โอกาสเพราะกลัวแต่จริงๆแล้วทุกคนไม่ได้เป็นแบบนั้นบางคนดีขึ้นแล้วเคาถึงออกไปทำงาน

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ