ต่างประเทศ

'ทรัมป์' รอลุ้นรีพับลิกัน จะได้เสียงข้างมากสภาผู้แทนฯหรือไม่ ล่าสุดขาดอีกเพียง 6 ที่นั่ง

โดย weerawit_c

9 พ.ย. 2567

41 views

เลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พรรครีพับลิกันภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ นับว่า ประสบความสำเร็จ เพราะทรัมป์กำลังจะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออีก 1 สมัย หลังกวาดคะแนนคณะผู้เลือกตั้งไป 295 จากทั้งหมด 538 แล้ว ผ่านตัวเลข 270 เมจิก นัมเบอร์ ตั้งแต่วันแรกของคืนวันเลือกตั้ง


ในส่วนของสภาคองเกรส เลือกตั้งวุฒิสภาก็ได้เสียงข้างมากแล้วเช่นกัน รีพับลิกันได้ไป 53 จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง ขณะที่พรรคเดโมแครตได้ไป 45 ที่นั่ง


ตอนนี้รอลุ้นผลเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร 435 ที่นั่ง ซึ่งรีพับลิกันได้ไป 212 เดโมแครตได้ไป 200 ที่นั่ง ขาดอีกเพียง 6 ที่นั่ง รีพับลิกันก็จะได้ครองเสียงข้างมากในสภาล่าง


นั่นหมายความว่า รีพับลิกันภายใต้การนำของทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ จะครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ที่สำคัญจะเอื้อประโยชน์ต่อรีพับลิกันในการออกกฏหมายต่างๆให้เป็นไปตามนโยบายที่ทรัมป์ให้คำมั่นไว้ ไม่ว่าจะเป็นแก้ปัญหาเงินเฟ้อ เรื่องภาษี ผู้อพยพ การยกเลิกกฎระเบียบด้านพลังงาน และอีกหลากหลายนโยบายรวมถึงนโยบายต่างประเทศ


ขณะที่เสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาจะทำให้พวกเขาสามารถยืนยันการแต่งตั้งสมาชิกคณะรัฐมนตรี ผู้พิพากษา และบุคลากรอื่นๆ ของทรัมป์ได้ แม้ว่ารีพับลิกันจะไม่มีคะแนนเสียงถึง 60 เสียง ซึ่งเป็นตัวเลขที่จำเป็นในการผ่านกฎหมายส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็วก็ตาม


เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) ทรัมป์เริ่มตั้งทีมบริหารชุดใหม่ หลังชนะการเลือกตั้ง เริ่มจากการแต่งตั้งนางซูซี่ ไวลส์ (Susie Wiles) หนึ่งในผู้จัดการทีมรณรงค์หาเสียงเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญนี้


ทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมไวลส์ว่าเป็นคนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และมีส่วนสำคัญในการรณรงค์หาเสียงของเขาทั้งในปี 2559 และ 2563


ไวลส์ เป็นนักยุทธศาสตร์ทางการเมืองมาอย่างยาวนานและเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ยังได้รับคำชมอย่างมากที่สามารถทำให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาด้วย


ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวหลายแห่งเปิดเผยว่า ตอนนี้ ทรัมป์กำลังพิจารณาแต่งตั้งบุคคลอื่น ๆ เข้ามาดำรงตำแหน่งในรัฐบาลใหม่ของเขา หนึ่งในคนที่ติดโผตัวเต็งที่จะเข้ามาทำงานในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 คือ นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทสลา, สเปซเอ็กซ์, และแอปพลิเคชันเอ็กซ์ หรือ ทวิตเตอร์เดิม


มัสก์ถือเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของทรัมป์ในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ เขาเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินให้กับทีมหาเสียงของทรัมป์สูงถึง 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4,050 ล้านบาท) ซึ่งทรัมป์มีแนวคิดที่จะให้มัสก์เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำในกระทรวงใหม่ที่เขาจะตั้งขึ้นมาที่ชื่อว่า "กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency) หรือ ดอดจ์ (DOGE) ซึ่งจะทำหน้าที่ลดค่าใช้จ่ายและปฏิรูปกฎระเบียบของหน่วยงานรัฐบาลกลาง


ส่วนคนที่ 2 ที่มีชื่อติดโผ คือ นายโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F Kennedy Jr) หลานชายของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี ซึ่งเขาเคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรคเดโมแครต และผู้สมัครอิสระแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก จึงถอนตัวและประกาศสนับสนุนทรัมป์


ในช่วง 2 เดือนท้ายของการหาเสียง เคนเนดี จูเนียร์เป็นผู้นำในแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ที่มีชื่อว่า เมค อเมริกา เฮลธี้ อะเกน (Make America Healthy Again) ซึ่งทรัมป์สัญญาว่าจะให้เขาเข้ามารับตำแหน่งในหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC และคณะกรรมการอาหารและยา หรือ FDA


นอกจากนี้ ยังมีนายไมค์ ปอมเปโอ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐแคนซัส ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือ CIA และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลของทรัมป์สมัยแรก เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่คาดว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม


มีบทความจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า หลังจากที่ผลเลือกตั้งออกมาว่า ทรัมป์คว้าชัยชนะ ทำให้ชาวอเมริกันบางส่วนรู้สึกสิ้นหวัง หลายคนมีความคิดว่า จะออกนอกประเทศเลยทีเดียว


รอยเตอร์ส รายงานว่า ข้อมูลค้นหาคำว่า "ย้ายไปแคนาดา" ใน Google พุ่งสูงขึ้น 1,270% ในช่วง 24 ชั่วโมง หลังจากผลคาดการณ์การเลือกตั้งสหรัฐฯในฝั่งตะวันออกเมื่อวันเลือกตั้งที่ผ่านมาออกมาว่า ทรัมป์ชนะ


ขณะที่การค้นหาคำที่คล้ายกันเกี่ยวกับการย้ายไปนิวซีแลนด์ก็พุ่งสูงขึ้นเกือบ 2,000% ในขณะที่การค้นหาเกี่ยวกับออสเตรเลียพุ่งสูงขึ้น 820%


ในช่วงค่ำวันพุธที่ผ่านมา การค้นหาเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานใน Google พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในทั้งสามประเทศ

คุณอาจสนใจ

Related News