ต่างประเทศ

เอาแล้ว! บริษัทจีน ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย อ้างปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ

โดย paweena_c

7 มี.ค. 2568

270 views

ไชน่า เฉิงซิน อินเตอร์เนชันแนล เครดิต เรตติ้ง (China Chengxin International Credit Rating) บริษัทจัดอันดับควานน่าเชื่อถือของจีนได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยอ้างถึงปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของประเทศไทยและภัยคุกคามจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ


เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ (South China Morning Post) สื่อฮ่องกงรายงานว่า บริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่ง ได้ประกาศเมื่อวันพฤหัสดบี (06 มี.ค. 68) ว่าได้มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจาก A- เป็น BBB+ เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เกิดขึ้นหลายครั้ง การปรับลดดังกล่าวส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในระดับ "ปกติ" แทนที่จะเป็น "ต่ำ" ส่วนสถานะทางเศรษฐกิจและการเงินก็ได้รับการประเมินอยู่ในระดับ "พอใช้" แทนที่จะเป็น "แข็งแกร่ง"


บริษัทให้เหตุผลว่า ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติได้เผยให้เห็นถึงข้อบกพร่องในระยะยาวของรัฐบาลไทยในการจัดการกับปัญหาอาชญากรรม และหากวิกฤตด้านความปลอดภัยยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลเสียต่อแนวโน้มของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ


แม้จีนจะเป็นตลาดนักท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของไทย โดยเมื่อปีที่แล้ว มีชาวจีนเดินทางมาเยือนมากถึง 6.7 ล้านคน แต่เหตุการณ์การลักพาตัวหวัง ซิง นักแสดงชายชาวจีน โดยขบวนการค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายอยู่ในประเทศไทย เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาชาวจีน หลังจากข่าวถูกเผยแพร่ออกไปบนโซเชียลมีเดียก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน


ข้อมูลจากบริษัทด้านการตลาดการท่องเที่ยวและเทคโนโลยี ไชน่า เทรดดิ้ง เดสก์ (China Trading Desk) ระบุว่า การจองวันหยุดในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงสัปดาห์ที่ 13 – 20 มกราคม ลดลงถึง 15.6% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า


เหตุการณ์ดังกล่าวยังก่อให้เกิดความกังวลสำหรับนักลงทุนชาวจีนบางรายที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย


ขณะเดียวกัน ไชน่า เฉิงซิน ยังให้เหตุผลเพิ่มเติมอีกว่า การปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทยนี้ยังมีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ควบคู่ไปกับแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ผู้ส่งออกและภาคการผลิตของประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่


นอกจากนี้ มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ยังอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมด้วย โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเรียกเก็บภาษีจากประเทศอื่นๆ ที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ จำนวนมาก ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ 45,600 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.5 ล้านล้านบาท)


ขณะเดียวกัน เมื่อปีที่แล้ว ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) ของไทย ซึ่งเป็นมาตรวัดผลผลิตทางอุตสาหกรรม หดตัวลง 1.79% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงในภาคยานยนต์


ไชน่า เฉิงซินบอกว่า เมื่อมองไปข้างหน้าในปี 2568 นี้ เนื่องจากสหรัฐฯ วางแผนที่จะกำหนดภาษีในอัตราที่สูงกับการส่งออกของไทย หากมีการบังคับใช้จริงและมีแนวโน้มในระยะยาวอาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการส่งออกของไทย และขัดขวางการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลไทยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังขัดขวางความต่อเนื่องของนโยบายด้วย


อย่างไรก็ดี นายซง เสงวุน (Song Seng Wun) ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของบริษัททางการเงินในสิงคโปร์บอกว่า การปรับอันดับดังกล่าวของบริษัทไชน่า เฉิงซินยังคงบ่งชี้ว่าประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพ และมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/7Vd1LnuELbM

คุณอาจสนใจ