ต่างประเทศ

“ทรัมป์” ลงนามในคำสั่งบริหารชุดใหญ่ หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี “เอกชนไทย” มองนโยบายทำ ศก.โลกปั่นป่วน

โดย paranee_s

21 ม.ค. 2568

246 views

หลังเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาได้ลงนามในคำสั่งบริหารชุดใหญ่ชุดแรกทันที ครอบคลุมประเด็นสำคัญมากมาย ตั้งแต่สิ่งแวดล้อม ผู้อพยพ ติ๊กต๊อก (TikTok) การอภัยโทษให้กับผู้ก่อเหตุจลาจล 6 มกราคม 2564 และอีกมากมาย



สำหรับคำสั่งบริหารที่ทรัมป์ได้ลงนามประกอบด้วย การก่อตั้งกระทรวงใหม่ที่มีชื่อว่า กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency) หรือ ดอจ (Doge) ซึ่งทรัมป์เอ่ยปากเป็นนัยว่าจะให้นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของเทสลาและพันธมิตรคนสำคัญของเขาเข้ามาทำงานในกระทรวงนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดรายจ่ายของรัฐบาล



นอกจากนี้ ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งให้เริ่มกระบวนการถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ด้วย โดยสาเหตุที่ทำให้ทรัมป์พยายามถอนสหรัฐฯ ออกจาก WHO นั้นเป็นเพราะเขามองว่าสหรัฐฯ ให้เงินกับ WHO อย่างไม่เป็นธรรมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ



ประธานาธิบดีทรัมป์ยังลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดนทางใต้ระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกเงินทุนและส่งทหารไปประจำการในพื้นที่เพิ่มเติมเพื่อควบคุมการอพยพข้ามพรมแดนของผู้อพยพตามคำมั่นสัญญาที่ทรัมป์เคยให้ไว้ระหว่างการหาเสียง นอกจากนี้ เขายังได้ลงนามคำสั่งยุติการให้สัญชาติกับเด็กที่เกิดจากผู้อพยพในสหรัฐฯ ด้วย



ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายแบนแอปพลิเคชัน TikTok ออกไปอีก 75 วันจนกว่าจะสามารถขายกิจการให้กับผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ได้ ทรัมป์ยืนยันว่าในช่วงเวลาดังกล่าว กฎหมายแบน TikTok ที่ผ่านการลงมติของสภาคองเกรสเมื่อปีที่แล้ว และลงนามรับรองโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะไม่ถูกบังคับใช้



มีนักข่าวได้ถามทรัมป์ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจไม่แบน TikTok ทั้ง ๆ ที่เขเคยมีความพยายามที่แบนแอปนี้เมื่อปี 2563 ทรัมป์ก็ตอบกลับว่า “เพราะเขาต้องใช้งานมัน” ทั้งนี้ ทรัมป์ได้เสนอเงื่อนไขเพื่อไม่ให้ TikTok ถูกแบนในสหรัฐฯ คือ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของ TikTok ในจีนจะต้องขายกิจการให้กับผู้ประกอบการในสหรัฐฯ 50%



นอกจากความพยายามในการถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลกแล้ว อีกหนึ่งคำสั่งที่หลายฝ่ายกังวลคือ การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Paris climate agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประชาคมโลก เพื่อกำหนดไม่ให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงเกิน 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม



ประธานาธิบดีคนใหม่ยังให้คำมั่นสัญญาว่าสหรัฐฯ จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสำรวจน้ำมันและก๊าซ ทรัมป์ได้บอกกับกลุ่มผู้สนับสนุนที่มารวมตัวกันที่สนามกีฬาแคปิทอลวันอารีนา (Capital One Arena) หลังการสาบานตนว่า เขาจะทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง และเติมคลังสำรองน้ำมันให้เต็มอีกครั้ง รวมถึงจะส่งออกพลังงานของสหรัฐฯ ไปทั่วโลก สหรัฐฯ จะกลับมาเป็นประเทศที่ร่ำรวยอีกครั้งจากการขายน้ำมัน



อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์พยายามพาสหรัฐฯ ออกจากการเป็นสมาชิกของข้อตกลงนี้ เพราะก่อนหน้านี้ ในตอนดำรงตำแหน่งสมัยแรกเมื่อปี 2560 เขาเคยพยายามมาแล้วแต่ถูกยกเลิกไปหลังโจ ไบเดนเข้ามารับตำแหน่งในปี 2564



ประธานาธิบดีทรัมป์ยังลงนามคำสั่งอภัยโทษให้กับกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาเกือบ 1,600 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากการบุกเข้าไปก่อเหตุจลาจลในอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 4 คน หนึ่งในนั้นเป็นผู้สนับสนุนของทรัมป์ที่ถูกตำรวจยิง



ในกลุ่มคนที่ได้รับการอภัยโทษมีแกนนำกลุ่มขวาจัดที่ชื่อว่า โอธ คีเปอร์ส (Oath Keepers) และพราวด์ บอยส์ (Proud Boys) จำนวนทั้งหมด 14 คนด้วย หนึ่งในนั้นคือนายเอนริโก้ ทาร์ริโอ (Enrique Tarrio) ผู้นำกลุ่มพราวด์บอยส์ ที่ถูกตัดสินจำคุก 22 ปีในข้อหาปลุกระดม



นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ลงนามในคำสั่งอื่น ๆ อีก เช่น ให้เจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานรัฐบาลกลางทุกคนต้องกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงาน, ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐออกกฎระเบียบใด ๆ เพิ่มเติมจนกว่าฝ่ายบริหารจะมีอำนาจควบคุมรัฐบาลได้อย่างเต็มที่, การระงับการจ้างงานใหม่ของหน่วยงานรัฐบาลกลางยกเว้นทหารและหน่วยงานไม่กี่แห่ง



อีกทั้ง ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งฟื้นฟูเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น, การยุติการใช้อำนาจรัฐเป็นอาวุธ หรือเป็นเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงขามทางการเมือง, และคำสั่งป้องกันผู้หญิงจากอุดมการณ์ทางเพศอันสุดโต่ง



มีรายงานว่าคำสั่งบริหารในสมัยของรัฐบาลโจ ไบเดนถูกทรัมป์สั่งยกเลิกไปทั้งหมด 78 ฉบับ เช่น การกำหนดเป้าหมายขายรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 50% ภายในปี พ.ศ. 2573 และการควบคุมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ



ส่วนเรื่องของภาษี ประธานาธิบดัทรัมป์บอกว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาอาจเกิดขึ้นเร็วสุดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และว่าเขากำลังพิจารณาการเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 25% โดยเหตุผลว่าทั้งสองประเทศนี้ปล่อยให้ผู้คนจำนวนมากข้ามพรมแดนเข้ามาในสหรัฐฯ



ส่วนการเก็บภาษีสินค้า 10% - 60% จากจีนนั้น ทรัมป์ยังไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าเมื่อไหร่ แต่เขาบอกว่าการหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงก่อนหน้านี้ค่อนข้างเป็นไปได้ดี



ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้พูดถึงเรื่องสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะยุติสงครามตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่ง โดยบอกว่าเขาคิดว่าตอนนี้ ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนต้องการทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้ง



ขณะที่ นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย มองว่า นโยบายสุดโต่งเน้นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “The American First” นอกเหนือการเล่นงานกับประเทศจีน ทั้งมาตรการทางภาษีและการกดดันด้านต่างๆ และนำมาใช้กับประเทศที่ได้ดุลการค้าโดยไม่สนใจประเทศต่างๆ แม้แต่พันธมิตร เป็นสิ่งที่ท้าทายและคาดเดาทิศทางได้ค่อนข้างยาก



โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะเข้ามาในระยะข้างหน้าที่อาจส่งผลให้เกิดการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการย้ายห่วงโซ่อุปทานที่จะเร่งขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนับจากนี้



ในปีที่ผ่านมาและปีนี้อุตสาหกรรมที่ได้รับการกระทบมากสุดคืออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งยอดผลิตในปีพ.ศ. 2567 ลดลงประมาณร้อยละ 20 ส่งผลกระทบต่อโซ่อุปทาน ยานยนต์ ซึ่งมีมากกว่า 2,348 กิจการและแรงงานประมาณ 4.4 แสนคน ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นสำคัญ ปีที่ผ่านมาสัดส่วนการลงทุนของญี่ปุ่นติดรั้งท้ายเหลือเพียงร้อยละ 6 ประเทศที่ลงทุนเป็นอันดับหนึ่งคือ สิงคโปร์ สัดส่วนร้อยละ 42.9 ตามด้วยจีนสัดส่วนร้อยละ 21 ฮ่องกงสัดส่วนร้อยละ 9.8 ไต้หวันสัดส่วนร้อยละ 6.01 ส่วนใหญ่การลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ซึ่งขยายตัวสูงถึงร้อยละ 51 ส่วนใหญ่ลงทุนในพื้นที่ EEC สัดส่วนร้อยละ 68.9 ตามด้วยภาคกลางร้อยละ 47.1 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 8.6 (การลงทุนจากสิงคโปร์สูงเนื่องจากบริษัทสหรัฐอเมริกา จีนและอียูจดทะเบียนที่สิงคโปร์เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า)



อย่างไรก็ดีภายใต้ปัจจัยท้าทายจากความไม่แน่นอนแต่ก็แฝงด้วยโอกาสอยู่มากซึ่งส่งผลให้ช่วงปีที่ผ่านมาการลงทุนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนจากการขอส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI สูงสุดในรอบสิบปี มูลค่าการลงทุนกว่า 1.13 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีผลต่อการจ้างงานมากกว่า 2.1 แสนตำแหน่งและการใช้วัสดุในประเทศประมาณ 1.0 ล้านล้านบาทตลอดจนเพิ่มมูลค่าการส่งออกประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเรียงตามลำดับคือ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์-แผงวงจร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมปิโตรและเคมีการส่งออกของไทยยังคงเป็นเครื่องมือกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีที่แล้วตัวเลขการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์และคาดการณ์ว่าการส่งออกสินค้าในปี 2568 จะยังขยายตัวท่ามกลางความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์



ภาคท่องเที่ยวปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 35.5 ล้านคนเป็น 40 ล้านคน ในปีนี้มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ร้อยละ 3 บวกลบจากมาตรการรัฐที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยแม้จะมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกแต่ด้วยปัจจัยบวกด้านส่งออก-ท่องเที่ยว-การลงทุน (BOI) สามารถทุบสถิติสูงสูงสุดในรอบสิบปี ส่งสัญญาณว่าไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนแปลงและเชื่อว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะเห็นผลการลงทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่ประการสำคัญคือภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ต้องมีการปรับตัวและมีความพร้อมทันต่อโอกาสและปิดความเสี่ยงที่จะเข้ามา



มาตรการที่รัฐบาลจะต้องผลักดัน
1. ผลักดันให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน ไม่ใช่แค่คำขออนุมัติออกบัตรแต่ต้องเป็นการลงทุนจริงเพราะทุกๆ 1 แสนล้านบาทจะทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 โดยเร่งอนุมัติออกบัตรส่งเสริมการลงทุน ประการสำคัญต้องกระชับกลไกให้เกิดการลงทุนจริงถ้าเม็ดเงินลงทุนใหม่นี้ลงทุนจริงราวร้อยละ 80 ของ 1 ล้านล้านบาทภายในสองปีจากทางแบบจำลองจะดัน GDP ได้ถึงร้อยละ 2 ภายในสองปีข้างหน้า



2. กระตุ้นการท่องเที่ยว ปัจจุบันพฤติกรรมการท่องเที่ยวเปลี่ยนเป็นเที่ยวระยะสั้นและจ่ายน้อยต้องแก้เกมโดยเน้นนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ ต้องหาทางเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายโดยการเพิ่มจำนวนการเพิ่มระยะเวลาพำนักในประเทศ ทั้งนี้ทุกการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 1 ล้านคนจะทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในปี 2568 หากมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 40 ล้านคนจะทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4



3. เร่งรัดรายจ่ายลงทุนภาครัฐให้ได้ตามเป้าหมาย โดยให้มีการเบิกจ่ายและงบลงทุนให้ได้ร้อยละ 80 ของรายจ่ายลงทุน 9 แสนกว่าล้านบาท หากยิ่งพลาดเป้าไป 1 แสนล้านบาทอัตราการเติบโตของ GDP ก็จะหายไปร้อยละ 0.25



4. สนับสนุนให้อัตราแลกเปลี่ยนค่อนไปทางอ่อนค่า (หากทำได้) เพื่อสนับสนุนให้การส่งออกเข้ามาช่วยขับเคลื่อนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจหากปล่อยให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์เฉลี่ยแข็งขึ้นเพียง 50 สตางค์ต่อดอลลาร์จะทำให้อัตราการเติบโตของ GDP จะหายไปอีกร้อยละ 0.15 ในทางกลับกัน ทุกๆ การอ่อนค่าลง 50 สตางค์ต่อดอลลาร์อัตราการเติบโตของ GDP ก็จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.5 แต่พึงเข้าใจว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าจะมีผลต่อราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคโดยเฉพาะราคาน้ำมันให้สูงขึ้นกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนช่วงเดือนมกราคมมีความผันผวน อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเฉลี่ย 3.548 บาท/USD ขณะที่ราคาน้ำมันตลาดโลก (WTI) ช่วงครึ่งเดือนมกราคมปรับตัวสูงร้อยละ 11.16

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ