เวลาประมาณ 10.48 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากทรัมป์กับไบเดนดื่มชากันเสร็จ เดินทางออกจากทำเนียบขาวมาถึงที่อาคารรัฐสภา ซึ่งไบเดน กับ ทรัมป์ ได้นั่งรถคันเดียวกัน ส่วนสุภาพสตรีหมายเลข 1 จิล ไบเดน กับ เมลาเนีย ทรัมป์ ก็นั่งรถคันเดียวกันเช่นกัน
ขณะที่บรรยากาศของอดีตผู้นำที่เดินทางมาด้านในอาคารรัฐสภา โดยเดินผ่านทหารยื่นถืออาวุธแสดงความเคารพ ตามเวลาท้องถิ่นเวลาประมาณ 10.59 น. บิล อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 42 และ ฮิลลารี คลินตัน มาถึงอาคารรัฐสภา
เวลาประมาณ 11.00 น. จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W Bush) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 43 มาถึงอาคารรัฐสภา ก่อนที่เวลาประมาณ 11.01 น. บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 มาถึงอาคารรัฐสภา
โดยอดีตประธานาธิบดีและสุภาพสตรีหมายเลข 1 ทั้งจะเดินออกมาจากม่านด้านหน้าสีน้ำเงินของห้องกลม (Capitol Rotunda) ในอาคารรัฐสภา
ส่วน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินออกมาคู่กับ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คามาลา แฮร์ริส ระหว่างนั้นมีศิลปินนักร้องโอเปรา/เทเนอร์ คริสโตเฟอร์ แมคคีโอ (Christopher D. Macchio) ชาวอเมริกัน ร้องเพลง "O, America!"
สมาชิกชมรมร้องเพลงของโรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ (U.S. Naval Academy Glee Club) ร้องเพลง “The Battle Hymn of the Republic” ,แคร์รี อันเดอร์วูด (Carrie Underwood) ร้องเพลง “America the Beautiful" และ คริสโตเฟอร์ ดี. แมคคิโอ ร้องเพลง "The Star-Spangled Banner"
บรรยากาศในอาคารรัฐสภา ช่วงเวลา 11.20 น. บรรดาเจ้าพ่อเทคโนโลยีหลายราย รวมถึงผู้ที่บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์ให้กับคณะกรรมการจัดงานพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของทรัมป์ ที่เข้าร่วมงานในวันนี้ ได้อยู่ใกล้กับครอบครัวทรัมป์และการเลือกคณะรัฐมนตรี โดยพวกเขานั่งในตำแหน่งที่โดดเด่น ใกล้กับครอบครัวของทรัมป์และคณะรัฐมนตรีที่จะได้รับการแต่งตั้ง เช่น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัทเมตา Meta , อีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท Tesla และ SpaceX, ซันดาร์ พิชัยซีอีโอของ Google และเจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Amazon ซึ่งถูกพบเห็นในห้องโถงนี้ พร้อมกับ ลอเรน ซานเชซ (Lauren Sanchez) ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของเขา
ช่วงเวลา 11.36 น. เมลาเนีย ทรัมป์ เดินออกมาจากม่านสีน้ำเงิน เข้าสู่บริเวณห้องกลม (Capitol Rotunda) จากนั้นเดินมาหา บาร์รอน ทรัมป์ (Barron Trump) ลูกชายของเธอ
ช่วงเวลา 11.39 น. เจดี แวนซ์ เดินเข้ามาห้องกลม ร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ร่วมกับสมาชิกรัฐสภาและสมาชิกรัฐบาลคนอื่นของเขา เมื่อปรากฏตัวเพื่อพูดคุยสั้นๆ กับประธานาธิบดีไบเดน
ต่อมาช่วงเวลา 11.42 น. ทรัมป์ ได้เดินผ่านอาคารรัฐสภาเพียงคนเดียว และเข้าสู่บริเวณห้องกลม (Capitol Rotunda) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เสียงเชียร์และตะโกนว่า "USA USA!" ทรัมป์เดินมาหาเมลาเนียก่อน แล้วจูบที่แก้มภรรยา แล้วหันมาทักทายไบเดน จากนั้นเขาแนะนำตัวเอง และพิธีการก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
วิทยากรคนแรกในห้องโถงกลมโรทุนดา คือ วุฒิสมาชิก เอมี่ โคลบูชาร์ (Amy Klobuchar) จากพรรคเดโมแครต รัฐมินนิโซตา ซึ่งกล่าวต้อนรับทุกคนเข้าสู่พิธีเปิดงาน
“วันนี้ ประธานาธิบดีคนใหม่ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีคนใหม่แวนซ์ จะเข้ารับตำแหน่งและเราจะได้เห็นการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ”
"พิธีนี้ถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปี ของระบอบประชาธิปไตยของพวกเรา นับเป็นช่วงเวลาที่ผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งโดยเจตนารมณ์ของประชาชนของเราสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อรัฐธรรมนูญ ปกป้องและคุ้มครองรัฐธรรมนูญ"
ยังกล่าวด้วยว่า "พิธีในวันนี้ตรงกับวันมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) โดยกล่าวว่า "เป็นการเตือนใจอีกครั้งว่าพวกเราต้องยึดมั่นในค่านิยมที่บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญของพวกเรา"
ในเวลา 11.59 น. เจดี แวนซ์ กล่าวสาบานตนเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ถือเป็นรองประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ ด้วยวัย 40 ปี 171 วัน ต่อจากอดีตรองประธานาธิบดี จอห์น เบรคกินริดจ์ ซึ่งมีอายุ 36 ปี และ อดีตรองประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ซึ่งมีอายุ 40 ปี 11 วัน
ในเวลา 12.00 น. วาระการดำรงตำแหน่งของไบเดนสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ขณะที่เมื่อเวลา 12.01 น. ทรัมป์ กล่าวสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ต่อหน้า ประธานศาลฎีกาสูงสุด จอห์น โรเบิร์ตส์ โดยวางมือบนพระคัมภีร์ และให้คำสาบานตนรับตำแหน่งว่าจะ "รักษา ปกป้อง และป้องกัน (preserve, protect and defend) " รัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ
ส่วนด้านนอกอาคารรัฐสภา ยิงปืนใหญ่ออกไปดังกึกก้อง เพื่อเฉลิมฉลองพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 47 ขณะเดียวกันภายในอาคารแคปิตอล วัน อารีน่า (Capital One Arena) ก็มีเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีเช่นกัน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คนที่ 47 แห่งสหรัฐฯ กล่าวในช่วงตอนต้นของสุนทรพจน์เปิดตัวว่า “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ประเทศของเราจะเจริญรุ่งเรืองและเป็นที่เคารพนับถืออีกครั้งทั่วโลก เราจะเป็นที่อิจฉาของทุกประเทศ และเราจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกเอาเปรียบอีกต่อไป ในทุก ๆ วันของรัฐบาลทรัมป์ ผมจะให้ความสำคัญกับอเมริกามาก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือการสร้างชาติที่ภาคภูมิใจ เจริญรุ่งเรือง และเป็นอิสระ ในไม่ช้านี้ อเมริกาจะยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง และพิเศษกว่าที่เคยเป็นมา”
ขณะเดียวกันก็กล่าวตำหนิรัฐบาลไบเดนเกี่ยวกับความปลอดภัยที่ชายแดนว่า ไม่สามารถจัดการอะไรได้แม้แต่วิกฤตเรื่องเล็กน้อยภายในประเทศ และเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ไม่สามารถปกป้องพลเมืองของตัวเองได้ แต่กลับให้ที่พักพิงและการคุ้มครองแก่ผู้กระทำความผิดร้ายแรง
ทรัมป์ยังกล่าวว่าโจมตีระบบการศึกษา “สอนให้ลูกหลานของพวกเราละอายใจตัวเอง” โดยเรื่องนี้สอนให้เด็กๆ "เกลียดประเทศของเราในหลายกรณี แม้ว่าพวกเราจะพยายามมอบความรักให้กับพวกเขาอย่างสุดความสามารถก็ตาม ทั้งหมดนี้จะเปลี่ยนแปลงเริ่มตั้งแต่วันนี้ และจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก" นับตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้งทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะยุบกระทรวงศึกษาธิการ
ทรัมป์ยังอ้างถึงความพยายามทางกฎหมายต่อเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และความพยายามลอบสังหารเขาเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว
ทรัมป์ยังกล่าวในวันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ว่าเขาขอบคุณชุมชนคนผิวสี และฮิสแปนิกที่สนับสนุนเขาในการเลือกตั้งอีกสมัย
“วันนี้เป็นวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เราจึงจะร่วมมือกันทำงานเพื่อให้ความฝันของเขากลายเป็นจริง เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา”
ทรัมป์สัญญาว่าจะยุตินโยบายของรัฐบาลที่พยายามออกแบบเรื่องเชื้อชาติและเพศในทุกแง่มุม เขาจะสร้างสังคมที่ไม่แบ่งแยกสีผิวและยึดตามคุณธรรม และนับจากวันนี้เป็นต้นไป นโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นไปดังนี้ ว่ามีเพศเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง
ทรัมป์ยังอ้างถึงข้อตกลงตัวประกันระหว่างอิสราเอลและฮามาสว่า "ตัวประกันในตะวันออกกลางกำลังเดินทางกลับบ้านหาครอบครัว" ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้องจากผู้คน รวมถึงไบเดนและแฮร์ริสด้วย
ตัวประกันชาวอิสราเอล 3 รายซึ่งถูกกักขังในฉนวนกาซาได้เดินทางกลับบ้านเมื่อวานนี้ และอิสราเอลได้ปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์ 90 รายในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการยุติการสู้รบรอบแรก
ทรัมป์ ยังกล่าวว่าความทะเยอทะยานคือ "เส้นเลือดใหญ่-lifeblood" ของสหรัฐฯ เขาบรรยายถึงความหวังของเขาที่มีต่อธงชาติบนดาวอังคาร คำพูดของเขาสะท้อนถึงความคิด อีลอน มัสก์
โดนัลด์ ทรัมป์ ปิดท้ายด้วยการกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะขวางทางสหรัฐอเมริกาได้ ประเทศจะได้รับการเคารพและชื่นชม
“พวกเราจะเจริญรุ่งเรือง พวกเราจะภูมิใจ พวกเราจะแข็งแกร่ง และพวกเราจะชนะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยุคทองของพวกเราเพิ่งเริ่มต้น”
Nothing will stand in the way of the United States. The country will be respected and admired. We will be prosperous, we will be proud, we will be strong and we will win like never before. Our golden age has just begun.