ต่างประเทศ

นักวิชาการวิเคราะห์ความรุนแรงสงครามอิสราเอล และปาเลสไตน์

9 ต.ค. 2566

306 views

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการด้านตะวันออกกลางศึกษา ชี้ ไทยควรวางตัวเป็นกลางในเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ เผยการสู้รบครั้งล่าสุดนี้ มีความรุนแรงเทียบเท่ากับเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน หรือ 9/11 (ไนน์อีเลฟเว่น) ของสหรัฐอเมริกา


ศาสตราจารย์ ดร.จรัญ มะลูลีม อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิชาการด้านตะวันออกกลางศึกษา กล่าวถึงการสู้รบระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ครั้งล่าสุดนี้ ถือเป็นการสู้รบแบบไม่ได้ตั้งตัวสำหรับฝ่ายอิสราเอล แม้จะเป็นประเทศที่มีการข่าว และหน่วยสืบราชการลับที่ดีที่สุด แต่ครั้งนี้การโจมตีของฝ่ายฮามาส เป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการตอบโต้ผู้ที่มายึดครองพื้นที่ของตนเอง เป็นการเตรียมการมาอย่างดี ใช้การบุกทั้งทางทะเล และทางบกอย่างรวดเร็ว และไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในรอบ 70 ปีที่ถูกยึดครองมาก่อน ทำให้สื่อตะวันตกเรียกการโจมตีครั้งนี้ คล้ายเหตุการณ์เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน หรือ 9/11 (ไนน์อีเลฟเว่น) ในนครนิวยอร์ก และพื้นที่วอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐอเมริกา



ที่ผ่านมาการสู้รบทั้ง 2 ฝ่าย อิสรเอลมักจะสูญเสียคนของตัวเองน้อยมาก เมื่อเทียบกับการสูญเสียของฝั่งปาเลสไตน์แต่ในครั้งนี้อิสรเอลมีความสูญเสียอย่างมาก ตัวเลขผู้เสียชีวิตในฝั่งอิสรเอล ขณะนี้พบว่าไม่ต่ำกว่า 700 คน ยังไม่นับรวมผู้คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันด้วย ส่งผลให้คนไทยที่ไปทำงานในอิสรเอลที่อยู่ในพื้นที่ บางส่วนก็ถูกจับเป็นตัวประกัน



ดังนั้นในฐานะผู้ได้รับผลกระทบ เพราะมีแรงงานไทยในพื้นที่ ประเทศไทยควรรักษาความสัมพันธ์ที่ดีทั้ง 2 ฝ่าย รักษาความเป็นกลาง เพราะที่ผ่านมาประเทศยอมรับการมีอยู่ของปาเลสไตน์ เราควรแสดงความเป็นกลาง เพื่อช่วยเหลือแรงงานไทยในพื้นที่ เพราะการต่อสู้ของปาเลสไตน์ เป็นการต่อสู้ของผู้ที่ถูกปิดล้อม ถูกปิดกั้นด้วยกำแพง ซึ่งเป็นฝ่ายที่ได้รับความทรมานมายาวนาน จึงลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้ที่มายึดครองดินแดน



ที่ผ่านมาการสู้รบทั้ง 2 ฝ่ายมีเป็นระยะ ในทุกๆ 2 ปี หรือปีครึ่ง แต่จะเห็นได้ว่ากลุ่มฮามาสมีการพัฒนาการต่อสู้ที่ดีมากขึ้น เพราะได้รับการสนับสนุนจากประเทศอิหร่าน และผู้สนับสนุนจากหลายฝ่าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอิสรเอลก็ตอบโต้กลุ่มฮามาลอย่างหนักหน่วงเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการสู้รบจะจบลงเมื่อใด เพราะสหรัฐอเมริกาก็ส่งอาวุธมาช่วยฝ่ายอิสรเอลด้วย



สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจปัญหาปาเลสไตน์กับอิสรเอล เป็นปัญหาที่มีมายาวนาน จากการที่ปาเลสไตน์ถูกเข้ายึดครองดินแดง ในปี 1948 และถูกซ้ำเติมด้วยการยึดครองพื้นที่เพิ่มเติม ในสงคราม 6 วัน ดังนั้นจึงเป็นความทรมานของชาวปาเลสไตน์ เพราะในโซนพื้นที่กาซาร์ฐานที่มั่นของฮามาสก็ถูกปิดล้อม จนคนทั่วโลกเรกขานพื้นที่นี้ว่า “เป็นคุกที่เปิดโล่งที่สุด” ดังนั้นคนในพื้นที่มากกว่า 2,300,000 คน ก็อยากออกมาต่อสู้ เพราะล่าสุดอิสรเอลนำผู้คนเข้ามาสร้างถิ่นฐานในพื้นที่ปาเลสไตน์มากกว่า 1 แสนคน ทำให้คนปาเลสไตน์ต้องไร้บ้าน ต้องหาที่อยู่ใหม่ และที่สำคัญมีการบุกเข้าไปในมหามัสยิดที่ยิ่งใหญ่ของปาเลสไตน์ด้วย ส่งผลให้การทำพิธีกรรมตกอยู่ในความยากลำบาก ดังนั้นเหตุผลของฝ่ายปาเลสไตน์ เป็นเรื่องของคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อความเป็นอิสระ



ในเรื่องความรุนแรงที่จะมีกับตัวประกันนั้น ในเรื่องนี้ศาสตราจารย์ ดร.จรัญ ระบุว่าข่าวล่าสุดมีรายงานว่า กลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันมาแล้วมากกว่า 50 คน แต่บางสื่อก็ระบุว่ายังไม่มีการปล่อยตัว สาเหตุที่ต้องมีการจับตัวประกันนั้น จะจับไว้เพื่อไว้แลกเปลี่ยนกัน ที่ผ่านมาพบว่าตัวประกันของฝ่ายอาหรับ 1 คน จะใช้แลกกับตัวประกันฝ่ายอิสรเอล 100 คน ดังนั้นจึงมีการจับตัวประกันมาตลอด เพื่อเอาไว้แลกเปลี่ยนเป็นข้อต่อรอง แต่ในกรณีของแรงงานต่างชาติในพื้นที่ อย่างเช่นแรงงานไทย กลายเป็นโล่ห์มนุษย์ เพราะอยู่ในเขตที่มีความรุนแรงจากการขัดแย้ง ที่ผ่านมาคนไทยก็เคยได้รับผลกระทบมาแล้ว แต่ครั้งนี้รุนแรงมากถึงกับมีผู้เสียชีวิต ดังนั้นสำหรับประเทศไทยควรคำนึงถึงการส่งแรงงานไทยไปอิสรเอล ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย และไม่สุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้ง โดยเฉพาะพื้นที่รอยต่อระหว่างกาซ่าและอิสรเอล



สิ่งสำคัญอยากจะฝากถึงจุดยืนของไทย เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยอมรับการมีอยู่ของปาเลสไตน์ และไทยมีแรงงานอยู่ในปาเลสไตน์ด้วย เราควรมีความสัมพันธ์ที่ดีทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อแรงงานไทยในพื้นที่ จะได้รับความช่วยเหลือโดยง่าย เพราะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ แต่ไปอยู่ในพื้นที่สู้รบ



สำหรับการเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทยที่สะท้อนออกมานั้น มี 2 ช่วง ช่วงแรกเป็นการแสดงความเห็นนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาการประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้น ประณามการก่อการร้าย แต่ในความเป็นจริงทั่วโลกไม่ได้เรียกการกระทำของกลุ่มฮามาสว่าเป็นการก่อการร้าย เพราะฮามาส เป็น “องค์กรที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ” แต่หลังจากนั้นในช่วงที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาแสดงจุดยืนว่าไทยรักษาความเป็นกลาง ซึ่งทำให้เกิดความสมดุลกับการแถลงของนายกรัฐมนตรีในช่วงแรกได้ เพราะที่ผ่านมา ไทยให้การรับรองปาเลสไตน์ ว่าเป็นรัฐที่มีความชอบธรรม


การสู้รบในครั้งนี้ระหว่างอิสรเอลกับปาเลสไตน์ เหตุการณ์มันต่างจากการสู้รบทุกครั้ง เพราะครั้งนี้อิสรเอลมีความสูญเสียอย่างมาก ดังนั้นการต่อรองแลกเปลี่ยนตัวประกันยังไม่เป็นคำตอบ ว่าจะสามารถยุติสงครามได้หรือไม่



ท้ายที่สุดนักวิชาการด้านตะวันออกกลางศึกษา ฝากถึงคนไทยที่ติดตามการสู้รบที่เกิดขึ้น เรื่องของปาเลสไตน์ไม่ใช่เรื่องของศาสนาอิสลาม ไม่ใช่เรื่องของคนมุสลิม แต่เป็นเรื่องของประชาชนชาติหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกยึดครองอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงมีการดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้รับการปลดปล่อย เพื่ออิสรภาพจึงเป็นหน้าที่ของพวกเขา เราควรเห็นใจ และไม่ควรเรียกชาวปาเลสไตน์ว่าผู้ก่อการร้าย เพราะพวกเขาปกป้องมาตุภูมิที่ถึกยึดครองมานานกว่า 74 ปี

คุณอาจสนใจ

Related News