คลิปเต็มรายการ

วุ่นเพื่อนบ้านป่วนนาน 6 ปี ยิงเลเซอร์-ทิ้งขยะ ที่แท้พี่น้องในไส้ ‘กัน จอมพลัง’ แนะ ถอยคนละก้าว

โดย JitrarutP

2 ก.ย. 2567

198 views

วันนี้ 2 ก.ย. 2567 รายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้จัดรายการในตอน หนุ่มกร่าง!อ้างลูกตำรวจปาขวดยิงเลเซอร์ใส่วงจรปิด ทั้งนี้สืบเนื่องจากกรณีที่ มีชาวบ้านมาร้องเรียนกับ กัน จอมพลังว่า โดนเพื่อนบ้านคุกคามหนักยาว 6ปี โดนแจ้งความดีนับ10 โดยมีผู้ร่วมรายการประกอบด้วย ครอบครัวผู้ร้องเรียน กัน จอมพลัง หรือ กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ และ ทนายแก้ว ดร. มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล รองประธานคณะกรรมการเผยแพร่กฎหมายสภาทนายความ

โดย ครอบครัวผู้ร้องเรียนได้เล่าความฝั่งของตัวเองว่า เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะตัวลูกสาวของบ้านไปขอยืมมือถือของ รถไฟ (นามสมมติ) มาเล่น พอเอาไปคืนฝั่งนั้นบอกว่ามือถือพังมาขอเงินค่าซ่อม 1,600 บาท แต่คาใจไม่คิดว่าค่าซ่อมจะแพงขนาดนี้เลยยังไม่ได้จ่าย ไม่ได้คิดจะบิดแต่พอจะจ่ายฝั่งนั่นกลับมาด่าจึงทำให้ไม่อยากจ่ายเลยไม่ได้จ่าย ต่อมาทางครอบครัวมีเรื่องฟ้องร้องแล้วได้เงินมา 30,000 บาท ตอนแรกคิดว่าจะบริจาคให้กับโรงพักแต่ไม่ได้บริจาคเพราะฝั่งนั้นมาด่าตนอีก และได้มาทวงเงินด้วย แต่ไม่ได้ให้ไป จนก็มีเรื่องมาตลอดยาว 6 ปี

ทางครอบครัวโดนคุกคามต่อว่ามาตลอด ด้วยคำหยาบคาย ทั้งก่อกวนเอาขยะมาทิ้งในบ้านและมีการแจ้งความทั้งครอบครัวโดนไปแล้วกว่า 14 คดี มีคดี 112ด้วยเกิดจากการที่ไปแชร์โพสต์ไว้อ่านแล้วฝั่งนั้นก็ฟ้องมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งมากกว่าเพราะถ้าจะเตือนไม่ทำแบบนี้ และตอนนี้บางคดีก็จบไปเกือบหมดแล้ว

และล่าสุด ก็ยังมีเรื่องกันอยู่ บ้านตนมักจะถูกฝั่งนั้น โยนขยะข้ามกำแพงมาเป็นประจำ ตนจึงติดกล้องวงจรปิด เพราะคาดว่าถูกเอาอุปกรณ์ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตมาติดตั้งไว้ทำให้กล้องวงจรปิดไม่ทำงาน พยายามเชื่อมต่อยังไงก็ไม่สำเร็จ แต่พอย้ายกล้องมาอีกฝั่งของบ้านกลับใช้งานได้ปกติ และยังชอบเอาเลเซอร์ส่องที่กล้องวงจรปิดที่บ้านจนทำให้เสียหาย ฝั่งนั้นอ้างว่าพวกตนตั้งกล้องส่องเข้าไปในบ้านของเขา พวกตนจึงต้องเอากระจกไปส่องให้สะท้อนกลับไป ตอนนี้พวกตนไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับอีกฝ่ายแล้วอยากให้เรื่องมันจบ

ด้านความเห็นของทนายแก้ว และ กัน จอมพลัง เห็นว่ากรณีนี้เรื่องคดีที่เกิดขึ้น ต้องแยกเป็นกรณีไปกรณีต่าง ๆ ที่เกิดเหตุขึ้นต้องแยกเป็นข้อๆ แนะเรื่องแบบนี้ถ้าแจ้งความได้ก็ให้ไปแจ้งความ ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิด การไปละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือไม่ต้องไปวัดดูมุมกล้องการกระทำกลับกันไปมาไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี และ เป็นเพื่อนบ้านเป็นญาติกันไม่ควรมีปัญหาทะเลาะกัน อยากให้ทั้งสองฝ่ายมาตกลงหันหน้าเข้าหาคุยกันให้เรียบร้อย อะไรที่สามารถยอมกันได้ให้ยอมกันไปถอนออกมาคนละก้าว

ด้านพ่อของผู้ก่อเหตุได้เล่าความฝั่งของตนกับโหนกระแสว่า เป็นตำรวจระดับรองผู้กำกับ จริงๆ แล้วตนเองกับทางผู้ร้องเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ตัวผู้ร้องเป็นน้องสาวคนสุดท้อง เดิมที่บ้านไม่เคยทำกำแพงหรือสร้างรั้วรอบขอบชิดเพราะอยู่กันแบบบ้านพี่บ้านน้อง และเรื่องที่ลูกสาวของผู้ร้องมายืมโทรศัพท์มือถือของลูกชายตน เรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร ส่วนเรื่องที่ทำให้เกิดรอยร้าวเพิ่มขึ้น คือ สามีของน้องสาว (ผู้ร้อง) มีคดีความฟ้องร้องหมิ่นประมาทกันกับเครือญาติของตัวเอง ทางน้องสาว ติดต่อมาว่า ขอให้ช่วยดูคดีให้หน่อย ตอนนั้นตนไปประจำอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

จึงฝากคดีให้กับพนักงานสอบสวนอีกท่านหนึ่งช่วยทำคดีให้ แต่น้องสาวก็ยังไม่พอใจ ติดต่อมาอีกว่า คดีมันล่าช้า ประกอบกับช่วงนั้นตนได้ย้ายกลับมาอยู่โรงพักเดิมพอดี ตนจึงเรียกทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยไกล่เกลี่ยกัน โดยสามีของน้องสาวบอกว่าถ้าได้เงินค่าเสียหายจะไม่เอาแม้แต่บาทเดียวจะบริจาคให้กับโรงพัก

ตอนแรกฝั่งน้องสาวเรียกเงินจากคู่กรณี 50,000 บาท คู่กรณีขอจ่ายจบ 30,000 บาท ทางน้องสาวและสามีตอบตกลง ก็มีการโอนเงินกันให้เสร็จเรียบร้อยและไม่เป็นคดีความฟ้องร้องกัน และน้องสาวตกลงจะนำเงินจำนวนหนึ่ง มาบริจาคให้โรงพัก จึงติดต่อไปหาน้องสาวบอกว่าให้ช่วยซื้อตู้เย็น กับกระติกน้ำร้อนเอาราคาไม่ต้องแพงไม่ต้องเกิน 10,000 บาท ปรากฏว่าน้องสาวเงียบกริบไม่ยอมให้เงินแถมยังทำเรื่องร้องเรียนตนเองว่าเรียกรับสินบนอีกด้วย

ต่อมามีปัญหากันอีกที่เป็นประเด็นมากที่สุด คือ เรื่องที่ลูกสาวของน้องสาว มีการแชร์บทความในลักษณะหมิ่นสถาบัน ทางตนเองและลูกชาย จึงมีการตักเตือนในฐานะญาติพี่น้องกันว่าไม่เหมาะสม ปรากฏว่าลูกสาวของผู้ร้องไม่พอใจ ก็มีการโพสต์ด่าบูลลี่หน้าตาเพื่อนสาวของลูกชายตน ลูกชายตนก็เกิดความไม่พอใจ จึงมีการตอบโต้กันตั้งแต่นั้นเรื่อยมา จนเป็นคดีความและศาลพิพากษาคู่กรณีเป็นฝ่ายผิดโดนรอลงอาญา 5 ปี

ส่วนเรื่องทิ้งขยะ เนื่องจากตอนแบ่งที่ดินกัน 4 คนพี่น้อง ตนเสียสละเลือกแปลงสุดท้ายในสุด ทางเข้าออกมันก็มีทางเดียวและเวลาทิ้งขยะก็ต้องเอาออกมาวางหน้าบ้าน ซึ่งบางทีก็มีสุนัขแถวนั้นมาคุ้ยขยะกระจุยกระจาย น้องสาวก็เข้าใจว่า ลูกชายตนแกล้งโยนขยะเข้าไป แต่ยอมรับว่ามีบางครั้งที่ลูกชายตนโยนขวดโซดาเข้าไปจริงเพราะช่วงนั้นมีปัญหาทะเลาะและด่ากันไปมา ด้วยความโมโหลูกชายตนจึงปาขวด ปาหินเข้าไปทำกระเบื้องหลังคาบ้านน้องสาวแตก ซึ่งคดีความจบไปแล้ว ซึ่งบ้านตนเสียค่าปรับ ค่าเสียหายไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับเรื่องยิงเลเซอร์ใส่กล้องวงจรปิด ตนยอมรับว่าลูกชายทำจริง เพราะต้องการให้เห็นว่า มุมกล้องวงจรปิดตั้งใจหันมาทางหน้าบ้านของตน

คุณอาจสนใจ

Related News