คลิปเต็มรายการ

เดือดจัด! ‘สามี-พ่อ’ เถียงกันไฟแลบ ปมขายรถหรู นาฬิกาหรู ‘ออฟฟี่ แม็กซิม’

โดย JitrarutP

7 ส.ค. 2567

562 views

วันที่ 7 ส.ค. 67 รายการโหนกระแสพูดคุยกับ หนุ่ม สามีของ ออฟฟี่ แม็กซิม, พ่อติ๊ก พ่อของออฟฟี่, เจ ผู้จัดการอ๊อฟฟี่, แอน ผู้ถูกกล่าวหาว่าหาคนมาซื้อรถ พร้อมด้วยทนายความของทั้งสองฝ่าย ถึงกรณีที่ สามีของ ออฟฟี่ แม็กซิม โพสต์ตามหารถหรู Porsche รุ่น boxster สีขาว หมายเลขทะเบียน ขษ 56 กรุงเทพมหานคร รถแสนรักของภรรยา ที่หายไปปริศนา หลังคนใกล้ชิดเอารถไปขาย โดยตอนที่เอารถไป อ้างว่าจะเอารถไปต่อ พ.ร.บ.ภาษีรถยนต์

โดย หนุ่ม สามีของออฟฟี่ได้เล่าว่า ตัวภรรยามีอาการป่วยทำให้ร่างกายซีกขวาใช้การไม่ได้ตนจึงต้องเข้ามาดูแลการเงิน ช่วยเอาของมีค่าไปขายให้เพื่อนำเงินมาใช้ในครอบครัว ตนเป็นคนดูแลออฟฟี่แต่ก็จะสลับๆ กันดูแลกับครอบครัวภรรยา แล้ววันหนึ่งมีคนมาเอารถที่เป็นประเด็นไปต่อทะเบียนภาษี  

หลังจากนั้นรถก็หายไปเลย วันหนึ่งภรรยากลับบ้านมาแล้วมีรอยเลอะหมึกที่นิ้ว เลยถามว่ารอยมาจากไหน ตัวออฟฟี่ภรรยาก็ให้คำตอบว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ตนออกไปตามสืบเองจนรู้ว่าโดนขายไปแล้วโดยครอบครัวของออฟฟี่ และขายในราคาที่ตนคิดว่าถูกเกินไป จึงออกมาแย้ง สิ่งที่ติดใจคือทำไมครอบครัวภรรยาไม่มาบอกก่อนว่าจะขายรถคันนี้ เพราะคิดว่าตัวภรรยาไม่อยากขาย

ขณะที่ แอน ผู้ที่ช่วยขายรถให้กับออฟฟี่ ยืนยันว่าไม่ได้หาคนมาก่อนล่วงหน้า และตัวคนที่มาซื้อรถออฟฟี่ก็ไม่ได้ให้ค่าคอมมิชันกับตน ไม่เคยได้อะไรเลย ทำด้วยใจจริงๆ เงินทุกบาทไม่ว่าจะค่าอะไรที่ออกให้ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน  

ส่วน โจ ผู้ซื้อรถ เล่าว่า วันที่ตัดสินใจซื้อนั้นรถตีราคามา 2.7 ล้าน แต่รถติดไฟแนนซ์อยู่ล้านกว่า จึงการต่อราคาลงมาจนสุดท้ายซื้อในราคา 2.5 ล้านบาท รวมทะเบียนรถด้วย และจ่ายเงินปิดไฟแนนซ์ไป 1.6 ล้านบาท ส่วนค่ารถที่เหลือนั้นได้โอนให้กับลูกสาวออฟฟี่ประมาณเก้าแสนกว่าบาท เรื่องราคารถตนยันว่าไม่ได้ซื้อมาถูกเกินไปเพราะราคาซื้อขายในตลาดก็ ประมาณ 3 ล้านบาท อยู่แล้ว ราคาที่ซื้อสมเหตุสมผลถูกแล้วตามราคาตอนนั้น ตนก็ซื้อและจ่ายเลยไม่มีผ่อน

ด้านพ่อของ ออฟฟี่ กล่าวว่าตัวลูกอยากจะขายรถ เป็นคนบอกให้ขายด้วยตัวเอง และเรื่องเงินที่ขายรถได้ก็อยู่ที่หลานหมด หลานเป็นคนคอยให้ดูแล ครอบครัวยืนยันว่าออฟฟี่ตั้งใจจะขายรถแน่นอน


โดย ออฟฟี่ แม็กซิม ได้พูดมุมของตัวเองว่า ตนตัดสินใจที่จะขายรถเอง แต่ที่ขายไปตอนนั้นไม่รู้เรื่องว่าขายรู้ว่าขายไป ตัวเองไม่ได้ยินยอมที่จะขายในตอนนั้นสติไม่ได้เต็ม 100% ที่วันนั้นพูดว่าจะขายเพราะมีคนคอยบอกจึงยินยอม แต่มานึกออกที่หลังว่ามันขายไม่ได้และไม่อยากจะขาย และในเรื่องเงินตนสมัครใจให้หามีดูแลเงินให้  



เรื่องรถไม่โอเคที่จะขายไปจริงๆ อยากได้รถคืนมา ที่พูดออกมาวันนี้ไม่ได้โดนใครบังคับเต็มใจพูดด้วยตัวเอง เสียใจที่แอนไม่ได้พูดอะไรหลายๆ ออกมา อยากให้แอนพูดออกมาให้ครบ ไม่ค่อยพูดกับตน ในวันนั้นสติไม่ครบ 100% จริงๆ ถึงได้พูดว่าจะขายรถออกมาและยอมเซนขายไปแบบนั้น

ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายคนกลาง ได้พูดถึงเรื่องนี้ในช่วงต่อออนไลน์ของรายการว่า ถ้าขณะที่คนเซ็นเอกสารป่วยมันจะเป็นโมฆะเพราะผู้เซ็นไม่ได้มีสติครบ ถ้าจะเป็นแบบนั้นศาลต้องสั่ง ออกมาว่าคนผู้นี้ไม่มีสติครบร้อย เรื่องขายรถนั้น สามารถคืนได้เพราะเป็นโมฆะ การซื้อขายจะไม่เกิดขึ้น ส่วนการจดทะเบียนสมรส ถ้าเป็นบุคคลที่มีสติไม่ครบร้อยการจดทะเบียนจะเป็นโมฆะ เรื่องสิทธิในการดูแลตอนนี้สามารถไปร้องได้กับศาล ทางครอบครัวมีสิทธิมากกว่า เพราะมาจดทะเบียนหลังจากป่วย  

ถ้าจดทะเบียนไปแล้วเรื่องสินสมรสสามารถทวงคืนได้แต่ถ้าเป็นของส่วนตัวจะไม่สามารถทวงคืนได้ ส่วนเรื่องที่ไปโพสต์ถึงคนซื้อรถว่าไปตาหารถที่บ้าน นั้นไม่ได้เสียหายไม่สามารถฟ้องคนโพสต์ได้แต่ถ้าจะไปฟ้องให้ฟ้องกับคอมเม้นแทนเพราะทำให้เสียหายมากกว่าคนโพสต์ และถ้าสู้กันด้วยข้อกฎหมายจริงๆ ฝั่งพ่อจะมีสิทธิมากกว่า ส่วน แอน เป็นคนนอกแค่ถ้าไม่เคยได้ประโยชน์เลย ก็มีเจตนาที่ดีไม่ผิดอะไร ถ้ามีเรื่องในกรณีนี้นั้นสามารถฟ้องฉ้อโกงได้แต่คนซื้อจะไม่โดนไปด้วยเพราะเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรแต่มันก็ต้องไปลองสืบดูก่อนว่าความเป็นจริงมันเป็นยังไง





คุณอาจสนใจ

Related News