เติมน้ำมันได้น้ำก๊อก ‘เจ้าของรถ-เจ้าของปั๊ม’ เคลียร์ใจรับผิดชอบ ผู้เชี่ยวชาญแนะอย่าสตาร์ทรถตอนเติมน้ำมัน

จากกรณี สาวรายหนึ่งได้โพสต์โซเชียล รวมถึงได้ขอความช่วยเหลือจากรายการข่าวต่าง ๆ ในกรณีที่เธอได้นำรถกระบะยี่ห้อฟอร์ด ไปเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี แต่ปรากฏว่ามีน้ำเจือปนในน้ำมัน  ทำให้รถพัง สตาร์ตไม่ติด  ต่อมาผู้เสียหายได้นำรถไปตรวจสอบที่ศูนย์  โดยศูนย์ได้ตีราคาค่าซ่อมกว่า 120,000 บาท  และให้เหตุผลว่าเนื่องจากน้ำเข้าระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเธอบอกว่าเจ้าของปั๊มไม่ได้แสดงความรับผิดชอบ และบอกว่าค่าซ่อมแพงเกินจริง

ในวันนี้ (30 เม.ย. 67) รายการโหนกระแส ได้เชิญ คุณมิกซ์ ผู้เสียหาย, คุณแอน เจ้าของปั๊ม  คุณอัษฎาวุธ อาสาสรรพกิจ หรือคุณบอมบ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์มา รวมถึง ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล มาร่วมรายการ

คุณมิกซ์ ผู้เสียหาย ได้เล่าว่า เธอได้ไปทำธุระที่กาญจนบุรี แต่น้ำมันใกล้หมด จึงต้องไปเติมน้ำมันดีเซล B7 ที่ปั๊มที่เกิดเหตุ โดยเธอยอมรับว่าไม่ได้ดับรถตอนเติมน้ำมัน พอเติมน้ำมัน 1,000 บาทเสร็จ รถของเธอก็สตาร์ตไม่ติด เธอจึงแจ้งพนักงาน ซึ่งพนักงานก็ได้แจ้งทางเจ้าของปั๊ม ซึ่งคุณแอน เจ้าของปั๊ม ก็มาทันที พร้อมกับได้เช็กน้ำมัน และพบว่ามีการปนเปื้อนของน้ำจริง ๆ พร้อมกับรับปากว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้  หลังจากที่ตกลงกัน ก็ได้นำรถเข้าศูนย์เพื่อตีราคาค่าซ่อม และปรากฏว่าเป็นเงินกว่า 120,000 บาท แต่ทางเจ้าของปั๊มมองว่าแพงเกินไป เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ของแท้ทั้งหมด  ทั้งที่รถคันที่เกิดเหตุนั้นวิ่งมามากว่า 300,00  กม.

“คุณแอน” ยืนยันว่าไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ ตั้งแต่เกิดเรื่อง เราพยายามแสดงความรับผิดชอบ ไม่ได้หายไปไหน ทุกเคสที่มาเติมน้ำมันที่ปั๊มแล้วเกิดปัญหา ก็ยอมจ่ายทั้งหมด  ตอนแรกเราให้เขา เรียกประกันของเขามา รถสไลด์ของประกันเขาเอา 7.5 พันบาท เราก็เสนอว่า เอารถสไลด์ในพื้นที่ใกล้ปั๊มเราไหม 3.5 พันบาท เขามีปัญหาว่าต้องการอะไหล่แท้เท่านั้น จะซ่อมศูนย์ หรือซ่อมอู่ก็ตาม ขอการันตีอะไหล่แท้ แต่ปัญหาก็คือ ตอนที่เขาส่งใบประเมินมา 1.2 แสนบาท เป็นใบประเมินจากทางศูนย์ฟอร์ด เราบอกว่ามันเกินไป ขอให้เขาช่วยลองหาอู่ได้ไหม ซ่อมอู่อาจจะค่าใช้จ่ายลดลงมากว่านี้

เรามีการจรจากันหลายรอบ เราไม่รู้เลยว่าค่าใช้จ่ายกลางจริงๆ มันต้องเป็นเงินเท่าไหร่ ก็เลยตัดสินใจขอให้คุณมิกซ์กลับไปใช้ประกันภัยของเขาได้ไหม เพื่อให้ประกันของเขา มาหักกับประกันภัยของเรา เราจะเบิกประกันความเสียหายจากบุคคลภายนอกของเราเองอีกที

แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ จู่ๆ เขามาเรียกเงินจากเรา 5 หมื่นบาท บอกว่าถ้าไม่จ่าย 5 หมื่นนี้ เดี๋ยวไปเจอกันที่โหนกระแส จะโพสต์โซเชียล ทำให้เราเสียหาย ซึ่งเราก็ไม่มีเงินจะจ่าย แล้วเขาก็ไปโพสต์จริงๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 5 หมื่นนี้ เป็นค่าอะไร

ขณะที่ “คุณมิกซ์ ผู้เสียหาย” บอกว่า  ที่เรียกเงิน 50,000 บาท นั้น ต้องการนำเงินไปซ่อมรถโดยที่ไม่เกี่ยวกับประกัน ค่าซ่อมที่เกินมานั้น เธอจะเป็นคนออกเองทั้งหมด เรื่องราวจะได้จบลงไป แต่เจ้าของปั๊มคิดว่าควรจะให้ประกันของปั๊มเป็นผู้จ่ายมากกว่า ดังนั้น ผู้เสียหายควรนำหลักฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นใบประเมินราคาค่าซ่อมรถมาให้เธอ เพื่อที่จะส่งประกัน จนท้ายสุด ทั้ง 2 คน ก็สามารถตกลงกันได้ในรายการ โดยเป็นการให้ ประกันของทั้ง 2 ฝั่ง คุยกันเอง

ด้าน ผู้เชี่ยวชาญรถยนต์ ได้บอกว่า การที่ศูนย์ฯตีราคาซ่อมกว่า 120,000 บาท ไม่ได้แพงเกินจริง เนื่องจากการตีราคาซ่อมนั้น เขาจะมองว่าอุปกรณ์ที่ไม่ได้ทำงานเต็มที่ 100% ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่หมด แล้วการเปลี่ยนก็ต้องเป็นของใหม่ ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ที่คุณภาพ 80 - 90 เปอร์เซ็นต์  

นอกจากนี้ นายอัษฎาวุธ ได้บอกว่า สิ่งที่ทำให้รถเสียหายหนักคือการที่ไม่ดับรถตอนเติมน้ำมัน เนื่องจากถ้าเราสตาร์ตรถทิ้งไว้ตอนเติมน้ำมัน เมื่อน้ำมันที่อาจเป็นน้ำมันผิดประเภท หรือน้ำมันที่ปนน้ำลงไปในถัง มันจะถูกสูบไปยังเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วจนทำให้พัง แต่ถ้าเราดับรถ เมื่อเราเติมน้ำมันผิดประเภท พอเราสตาร์ตรถ น้ำมันนั้นจะผ่านเซ็นเซอร์ที่เตือนอย่างรวดเร็ว ทำให้เราดับรถได้ทัน ดังที่จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ เมื่อไม่ดับรถทำให้อุปกรณ์ประเภทหัวฉีดพัง และพวกนี้ราคาสูงมาก ถ้าดับรถจะไม่เกิดความเสียหายเท่านี้แน่นอน

ด้านทนายแก้วบอกว่า เจ้าของปั๊ม จำเป็นจะต้องจ่ายค่าต่าง ๆ ตอนที่เกิดเหตุ เช่น ค่าที่พัก (เนื่องจากไม่มีรถใช้กลับบ้าน) ค่าเช่ารถเนื่องจากกรณีที่ต้องใช้รถ ซึ่งในรายการก็มีการตกลงเรื่องนี้เรียบร้อย

นอกจากนี้ ทางคุณแอน ผู้เสียก็รับปากว่าจะลบโพสต์ในโซเชียลต่าง ๆ เนื่องจากตกลงกันได้ พร้อมกับจะไปพูดคุยกับประกันภัยว่าจะต้องใช้เวลาซ่อมรถนานเท่าไหร่ เพื่อนำหลักฐานไปส่งให้เจ้าของปั๊มนำไปเบิกค่าเช่ารถกับประกันของตนเอง

แล้วเรื่องราวก็จบลงในรายการ โดยที่ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถตกลงเรื่องราวได้ทั้งหมด รวมถึงขอโทษและให้อภัยซึ่งกันและกัน