12 ธ.ค. 2568
“กัมพูชา” ตำหนิยูเนสโก ปิดหูปิดตา! ไม่ประณามไทยโจมตีปราสาท พร้อมร้องให้ UNSC เข้ามาแทรกแซง
“กัมพูชา” ตำหนิยูเนสโก ปิดหู ปิดตา! ทำไมไม่ออกมา “ประณามไทย” ที่โจมตีปราสาทโบราณของเขมร พร้อมเรียกร้อง UNSC เข้าแทรกแซงเหตุปะทะตามแนวชายแดนกับไทย
นายเขียว รามี รัฐมนตรีอาวุโสและประธานองค์กรสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา วิพากษ์วิจารณ์ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูเนสโกคนปัจจุบันว่า ไม่มีหัวใจ ยอมนิ่งเงียบ ปิดหู ปิดตา ไม่ออกมาประณามไทยที่โจมตีปราสาทโบราณของเขมร สำนักข่าวกัมพูเจีย ทะแมร์ เดลี่ รายงานว่า นายเขียวได้เปรียบเทียบผู้นำยูเนสโกชุดปัจจุบันกับชุดก่อนๆ ว่า ผู้นำยูเนสโกในอดีตมีหัวใจรักและให้คุณค่าต่อปราสาทโบราณ ต่อสมบัติมรดกแห่งชาติและของโลกเป็นอย่างมาก เมื่อประเทศสมาชิกเกิดสงครามภายใน หรือสงครามระหว่างรัฐต่อรัฐ ยูเนสโกมักจะออกแถลงการณ์ปกป้อง ป้องกันไม่ให้การปะทะด้วยอาวุธนั้นส่งผลกระทบหรือทำลายสมบัติทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ แต่งต่างจากผู้นำชุดปัจจุบันที่เลือกจะยิ่งเงียบ
นายเขียว ระบุว่า ในขณะที่ทหารไทยกำลังได้ใจ ทำลายแหล่งมรดกโลกของกัมพูชา แต่ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รับผิดชอบจากองค์กรระหว่างประเทศกลับไม่ออกมาขัดขวาง หรือประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งเขาบอกว่า ก้อนหินทั้งหลายที่เป็นผลงานของบรรพบุรุษเขมรกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร้องเรียกหาผู้มาช่วยชีวิตจากพวกทมิฬผู้รุกรานซึ่งเป็นศัตรูทางประวัติศาสตร์
กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาอ้างว่า นับตั้งแต่ปราสาทพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 ไทยได้สร้างข้ออ้างและก่อความขัดแย้งด้วยอาวุธในพื้นที่ปราสาทพระวิหารหลายครั้งในช่วงปี 2551 ถึง 2554 พร้อมทั้งได้ก่อความขัดแย้งระลอกใหม่ เมื่อวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568
กองทัพไทยได้ใช้อาวุธหนัก F-16 ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของปราสาทพระวิหาร ซึ่งถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่ออนุสัญญากรุงเฮกปี 1954 ว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีที่มีการขัดกันทางอาวุธ และอนุสัญญาองค์การยูเนสโกปี 1972 ว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นรัฐภาคีด้วยเช่นกัน
กัมพูชา ยังอ้างว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพไทยได้ทำลายอาคารอนุรักษ์ของโครงการอนุรักษ์และซ่อมแซมโคปุระชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นแนวระเบียงคด รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ล้มอรอบปราสาทประธานของปราสาทพระวิหาร และโครงสร้างพื้นฐานด้านการอนุรักษ์อื่นๆ รวมถึงได้ทำลายเครนยกของ
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม กองทัพไทยได้เปิดฉากระดมยิงทำลายปราสาทตาควายของกัมพูชา ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักที่ส่วนยอดและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของปราสาท ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของกัมพูชา กระทรวงวัฒนธรรมถือว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้ศีลธรรม ดูหมิ่นเหยียดหยามวัฒนธรรม อารยธรรม และสถานที่สักการะอันเป็นมรดกของมนุษยชาติ โดยเฉพาะวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษเขมรได้สร้างทิ้งไว้ซึ่งมีค่ามหาศาล
กระทรวงวัฒนธรรมกัมพูชาเรียกร้องให้นานาชาติ โดยเฉพาะองค์การยูเนสโก อาเซียน และบุคคลผู้รักมรดกทางวัฒนธรรม ร่วมกันประณามและผลักดันให้ไทยยุติกิจกรรมการทำลายล้างนี้โดยด่วน
ขณะเดียวกัน นายแก้ว เจีย ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ส่งหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้เข้ามาดำเนินการต่อสิ่งที่กัมพูชาอธิบายว่าเป็น “การโจมตีด้วยอาวุธ ที่ไม่มีการยั่วยุและทวีความรุนแรงขึ้น” ของกองกำลังไทยตามแนวชายแดน
นายแก้ว เจีย ระบุในหนังสือที่ลงวันที่ 10 ธันวาคม กล่าวหากองทัพไทยว่าละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงข้อตกลงหยุดยิงและสันติภาพที่มีอยู่ โดยการเปิดปฏิบัติการทางทหารข้ามพรมแดนเข้าสู่ดินแดนกัมพูชา
คำร้องของกัมพูชามีขึ้นหลังการปะทะที่ทวีความรุนแรงติดต่อกันหลายวันในจังหวัดชายแดน รวมถึงพระวิหารและอุดรมีชัย โดยฝ่ายกัมพูชา อ้างว่ากองทัพไทยใช้อาวุธหนัก ทั้ง รถถัง ปืนใหญ่ โดรน เครื่องบินรบ และควันพิษ ในการโจมตีที่ลุกลามเข้าไปยังพื้นที่พลเรือน
ปฏิบัติการทางทหารเหล่านี้เป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรง รวมถึงข้อห้ามเด็ดขาดต่อการคุกคามหรือการใช้กำลัง พร้อมเตือนว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นภัยคุกคามที่ชัดเจนและใกล้ตัวต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค
ตามเนื้อหาจดหมาย กองกำลังไทยได้ยิงใส่ตำแหน่งของกัมพูชาเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม และยกระดับการโจมตีตั้งแต่ช่วงเช้าวันถัดมา ด้วยการยิงถล่มอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่
กัมพูชายังกล่าวหาว่าการโจมตีลุกลามเข้าสู่เขตพลเรือนไม่ใช่พื้นที่สู้รบในจังหวัดบันเตียเมียนเจย และ ณ วันที่ 10 ธันวาคม ขยายไปยังบางส่วนของจังหวัดโพธิสัตว์และพระตะบอง
ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าการโจมตีทำให้พลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บ บ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะถูกทำลาย รวมถึงความเสียหายต่อแหล่งมรดกที่ได้รับการคุ้มครอง เช่น พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร มรดกโลกยูเนสโก ซึ่งเคยเป็นจุดปะทุความตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศมายาวนาน
การโจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยเจตนาและอย่างไม่เลือกเป้าของไทย ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
นอกจากนี้ กัมพูชายังกล่าวหาไทยว่าละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม และความประกาศสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งผูกพันให้ทั้งสองฝ่ายแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธีและงดเว้นการใช้กำลัง
นายแก้ว เจีย กล่าวว่ากัมพูชายังคงมุ่งมั่นแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ โดยกองกำลังกัมพูชาได้ “อดกลั้นสูงสุด” ด้วยการไม่ตอบโต้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อเคารพข้อตกลงหยุดยิงและความตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ แต่ยังสงวนสิทธิในการป้องกันตนเองภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ
11 ธ.ค. 2568
826 views
EP อื่นๆ
11 ธ.ค. 2568
“อนุทิน” ทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ แล้ว
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568
11 ธ.ค. 2568