รรท.ผบช.น เข้าเยี่ยมหนุ่ม ถูก 7 ตำรวจรุมทำร้าย ยันไม่มีช่วยเหลือ ด้านน้องย้ำไม่รับเคลียร์กับใครทั้งสิ้น
หลังจากที่เพจ Facebook “ดาวแปดแฉก “ออกมาโพสต์ภาพ พล.ต.ท.สยาม บุญสม รรท.ผบช.น พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องเข้าเยี่ยม นายธนานพ เกิดศรี อายุ 33 ปี ลูกชาย พ.ต.ท.ธนชัย เกิดศรี อายุ 61 ปี อดีต สว.กก.2 บก.ปทส. ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบก.จร. 7 นายรุมทำร้ายบาดเจ็บสาหัส
ทีมข่าวจึงได้พูดคุยกับ นางสาวธนัชตา อายุ 29 ปี น้องสาวของผู้บาดเจ็บเปิดเผยว่า ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาเยี่ยมพี่ชาย และคนในครอบครัวเธอ และขอบคุณสำหรับกระเช้าผลไม้ที่นำมาเยี่ยมพร้อมบอกว่าตนเองไม่ได้มีอคติกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือโกรธเจ้าหน้าที่ตำรวจมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของบุคคล ซึ่งตำรวจทั้ง 7 นายปฏิบัติไม่ถูกต้อง ทางตำรวจก็แจ้งกับเธอว่าไม่ได้อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และรับปากว่าจะลงโทษตำรวจทั้ง7 นายในแบบที่ควรจะเป็น ในแบบที่กฎหมายควรจะคุ้มครอง ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเธอแต่ประชาชนทุกคนควรจะได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้อง
ส่วนสภาพจิตใจทั้งเธอ และพี่ชายของเธอค่อนข้างที่จะดีขึ้น เพราะได้ภาพกล้องวงจรปิดเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญ พร้อมบอกว่าเรื่องนี้เธอสู้เต็มที่ และไม่ได้พูดเพียงปากเปล่าแต่มีพยานหลักฐานประกอบ และคิดว่าถ้ากฎหมายศักดิ์สิทธิ์จริง ก็จะต้องเอาผิดตำรวจทั้ง 7 นายได้ จึงไม่ได้กังวลอะไรมาก
แต่สิ่งที่กังวลมากกว่าคดี คือ สภาพร่างกายของพี่ชาย และกังวลว่าตาทั้งสองข้างของพี่ชายจะไม่สามารถกลับมาใช้ได้ตามปกติ เพราะต้องใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน ตอนนี้ดวงตาจากที่ตอนแรกเป็นสีแดงเข้มตอนนี้ก็กลายเป็นสีแดงสด แต่ที่มีเพิ่มขึ้นมานั้น คือรอยช้ำบริเวณข้อมือที่พี่ชายถูกใส่กุญแจมือในวันเกิดเหตุ ซึ่งทางแพทย์ที่รักษาแจ้งว่าตอนนี้มีอาการบวมเนื่องจากเส้นประสาทอักเสบเวลาหยิกบริเวณจุดที่บวมพี่ชายของเธอจะไม่รู้สึก จะต้องกินวิตามินเพื่อบำรุง และใช้เวลาในการฟื้นฟู
ในส่วนของคดีความเบื้องต้นตนยังไม่ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม และไม่รู้ว่าทางเจ้าหน้าที่ได้มีการไปสอบปากคำตำรวจทั้ง 7 นายเพิ่มเติมแล้วหรือยัง รู้เพียงแค่ว่าทางร้อยเวรได้มีการเข้าไปสอบปากคำตำรวจทั้ง 7 นาย มาแล้วก่อนหน้านี้ และรอเอกสารจากทางกองบังคับการตำรวจจราจร (บก. จร.) เพื่อเป็นการยืนยันว่าทั้ง7 คนนี้ทำงานอยู่ภายใต้สังกัดของตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจร (บก. จร.) ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเข้ามาสอบปากคำพี่ชาย และครอบครัวเธอเป็นที่เรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เล่าเหตุการณ์ในวันที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด
ซึ่งในส่วนของคดีความเมื่อถามว่ายังมีความกังวลใจอยู่หรือไม่ว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม นางสาวธนัชตา ระบุว่าเธอเคยพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้วว่าตอนนี้เธอสู้อยู่กับตำรวจก็กลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม มองว่าสู้กับประชาชนด้วยกันเองยังว่ายาก แต่ว่ามาสู้กับตำรวจก็ไม่รู้ว่าเขาพลิกแพลงไปยังไง และรู้มาว่าตำรวจทั้ง 7 นายก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาแต่ตนเองก็มีภาพกล้องวงจรปิดที่เป็นพยานหลักฐาน ซึ่งตนก็มั่นใจในพยานหลักฐานของตนเอง แต่ถ้าหากทางฝั่งคู่กรณีคงปฏิเสธก็ให้นำหลักฐานมาสู้กัน
พร้อมฝากไปถึงตำรวจทั้ง 7 นาย และคนรอบข้างว่าไม่ต้องโทรศัพท์มาเคลียร์ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่รับเคลียร์ หากเป็นคำขอโทษจะรับไว้ เพราะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (9 ธ.ค.67) มีพ่อของหนึ่งใน 7 ตำรวจได้โทรศัพท์มาหาเธอพร้อมขอโทษแทนลูกชาย แต่ยืนยันว่า ลูกชายไม่ใช่คนที่ก่อเหตุทำเพียงแค่ยืนอยู่ไม่ได้เข้าไปรุมทำร้ายและลูกชายก็พยายามห้ามนายตำรวจที่เข้าไปรุมทำร้าย ซึ่งเธอก็มองว่าเรื่องนี้ก็ให้เป็นไปตามพยานหลักฐาน ถ้าไม่ผิดจริงก็ให้นำหลักฐานมาสู้กัน และยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุดและไม่มีการยอมความ เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานที่ตนเองได้มานั้นก็คือภาพกล้องวงจรปิดที่เห็นขณะที่ตำรวจทั้ง 7 นายรุมทำร้ายพี่ชายของเธอ
ต่อมาทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามรายละเอียดกับทาง พล.ต.ท.สยาม บุญสม รรท.ผบช.น. เปิดเผยว่าในวันนี้ได้เข้าไปเยี่ยม นายธนานพ ผู้บาดเจ็บ และครอบครัว เพราะอยากไปแสดงความเสียใจ และอยากไปขอโทษผู้เสียหายแทนลูกน้องของตน ซึ่งก็มองว่าเรื่องตำรวจทั้ง 7 นายก็ทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ซึ่งตนเป็นผู้บังคับบัญชาก็จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นหน้าที่ของตนเองที่จะต้องลงไปพูดคุยให้กับทางผู้ก่อเหตุได้ทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ และประชาชนก็ไม่ยอมรับ
รวมถึงได้มีการสอบถามรายละเอียดกับผู้บาดเจ็บอาการตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างและดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง ยอมรับว่ารู้สึกเห็นใจและรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว
และในส่วนประเด็นที่ผู้เสียหายกังวลว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องของคดีความ ด้านพล.ต.ท.สยาม ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีการช่วยเหลือกันอย่างแน่นอน ซึ่งตนเป็นผู้ที่ยืนยันกับผู้เสียหายเอง และได้มอบหมายให้รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจราจรไปทบทวนหลักปฏิบัติในการจุดตรวจและจุดสกัดให้เป็นไป ระเบียบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้ และตนเองก็จะลงไปควบคุมด้วยตนเองในรูปแบบของการตั้งด่านในเรื่องของข้อกฎหมายหรือแม้แต่พ.ร.บ.อุ้มหายให้เจ้าหน้าที่ทุกนายเข้าใจอย่างถูกต้องจะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง
โดย paranee_s