อ.ปานเทพ เผย “สนธิ” ห่วงมีขบวนการคอยปกป้อง “ทนายตั้ม” เชื่อ ทนายเดชา พยายามฟอกขาวให้

ที่บ้านพระอาทิตย์ เวลา 11.30 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือมาดามอ้อย เศรษฐีเจ้าของธุรกิจในประเทศฝรั่งเศส และคุณน้อย เลขานุการส่วนตัว เข้าพบนายสนธิ ลิ้มทองกุล และทีมงาน ที่บ้านพระอาทิตย์ ระบุว่าที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุลออกมาไลฟ์ก่อนหน้านี้ได้แสดงจุดยืนให้เห็นอย่างชัดเจน 3 เรื่อง 1.ยังมีทนายที่พยายามฟอกขาวให้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ในความรู้สึกของนายสนธิ คือ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ “ทนายเดชา” ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ และคิดว่าทนายเดชาจะเป็นพวกเดียวกับทนายตั้ม



ในเรื่องที่ 2 กรณีของที่นายสนธิจะยื่นร้องต่อสภาทนายความ นายปานเทพ ระบุว่าในขณะนี้มีผู้ที่ร้องทุกข์มายังนายสนธิเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนก็ยินดีที่จะรับข้อมูลจากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากทนายตั้มทั้งหมด ตนยินดีจะช่วยเหลือ และให้ได้รับความเป็นธรรมให้ได้มากที่สุด



นายปานเทพ ระบุว่าที่เป็นห่วงตอนนี้ คือจะมีขบวนการที่คอยปกป้องทนายตั้มอยู่ในสภาทนายความหรือไม่ แล้วหวังว่าในกระบวนการครั้งนี้สภาทนายความจะกวาดล้างและปฏิรูปทนายโจรที่แปลงร่างเป็นทนายความที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือสร้างภาพว่าเป็นคนดี



ดังนั้นการที่คดีหรือกระบวนการในการตรวจสอบล่าช้ายืดเยื้อยาวนานไม่สามารถดำเนินการได้เอาผิดการถอดถอนใบอนุญาตทนายความที่มีชื่อเสียงได้นั้นจะเป็นโทษต่อสังคม



เรื่องที่ 3 กรณีที่ทนายเดชา ออกมาเปิดเผยว่าอายุความนั้นหมดอายุ ระบุว่าไม่เป็นความจริง ๆ ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ที่สอบสวนอย่างละเอียดรอบคอบ เป็นคนที่ตรงไปตรงมา ตนก็หวังว่าทนายเดชาจะไม่เป็นการพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อช่วยเหลือทนายตั้ม เพราะพยานหลักฐานชัดเจนว่าอายุความยังไม่หมดอายุความ เพราะอายุความไม่ได้เกิดขึ้น นับตั้งแต่วันที่จ่ายหรือนับตั้งแต่วันที่ทำสัญญา แต่นับตั้งแต่วันที่รู้ว่ามีการฉ้อโกง เมื่อครบสัญญาแล้วไม่มีการส่งมอบระบบคอมพิวเตอร์เพื่อทำสลากออนไลน์ตามที่ตกลงกันไว้ จึงได้มีการไปแจ้งความ



เมื่อถามว่าทำไมถึงคิดว่าทนายเดชาน่าจะเข้าข้างทนายตั้ม นายปานเทพ ระบุว่า ก็เพราะว่าทั้งคู่รู้จักกัน ทนายเดชาอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ให้คำแนะนำกับทนายตั้มก็ได้ เพราะมีการพูดถึงบ่อย และพูดในทิศทางที่เชื่อได้ว่าทนายตั้มมีทางออก หรือพูดเหมือน จะช่วยทนายตั้มแทนที่จะพูดถูกผู้เสียหายที่ได้รับความเดือดร้อน ตนจึงมีความเชื่อมั่นว่าทนายเดชาน่าจะยืนอยู่ข้างทนายตั้มจากการที่มาออกสื่อสาธารณะ



ในประเด็นค่าออกแบบ ระบุว่าตำรวจไม่ได้สืบสวนในประเด็นที่เป็นข่าวเท่านั้นยังมีการสืบสวนสอบสวนในอีกหลายประเด็น เช่นค่าก่อสร้าง พร้อมบอกว่าค่าออกแบบ 9 ล้านบาท 3 ล้านบาทนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย แต่ที่น่าสนใจ คือทำไมคนที่เป็นทนายความมืออาชีพให้เงินในรูปแบบของเงินสดโดยที่ยังไม่ได้แบบ ซึ่งมองว่าเรื่องนี้ผิดปกติ ของคนที่เป็นทนายความที่จะแนะนำให้ลูกความดำเนินการเช่นนี้



แต่ค่าก่อสร้างที่ดำเนินการไปนั้นทนายตั้มเคยแนะนำผู้รับเหมามาใช่หรือไม่ ซึ่งเจ๊อ้อยก็ไม่ได้หลงเชื่อ เพราะทางเลขาน้อยได้หาผู้รับเหมารายอื่นมาให้ ซึ่งในประเด็นนี้ยังมีส่วนต่างอีกหลายสิบล้านบาทที่ยังไม่ได้ออกมาเปิดเผย เนื่องจากไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่เป็นพฤติการณ์ของทนายตั้ม



นายปานเทพ ระบุว่าตนเชื่อมั่นในชุดสืบสวนของ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง การใช้เวลาหลายวันในการสอบสวน หรือตั้งคำถามจากทางทนายเดชาว่าไม่มีประเด็นจึงไม่สามารถที่จะฟ้องร้องได้นั้น ส่วนตัวนายปานเทพ มองตรงข้ามเพราะการที่ใช้เวลาในการสอบปากคำนานถึงขนาดนี้เชื่อมั่นว่าเป็นการขยายผลนอกจากตัวทนายตั้มอาจจะเป็นในรูปแบบของกระบวนการหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดและลงลึกกว่าเดิม และจะมีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าที่เราคิด และมีอีกหลายบุคคลที่มีการรับเงินแทนทนายตั้ม ทั้งที่เปิดเผยออกมาต่อสาธารณะและไม่ได้เปิดเผย



พร้อมบอกว่าก่อนหน้านี้ทนายตั้มเองก็เคยร่วมงานกับทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาแล้วหลายครั้ง นายปานเทพ จึงเชื่อว่าทนายตั้มน่าจะมีเส้นสายอยู่ภายในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนการอยู่บ้างและน่าจะรู้ความคืบหน้าของคดีว่าไปถึงไหนแล้ว ตนจึงอยากจะเรียกร้องไปถึงทนายตั้มว่าอย่าหลบหนี เพราะทนายตั้มบอกเองว่าตนเองไม่ผิด ดังนั้นจะต้องไม่หลบหนีไปไหน ถ้าหากหนีก็แปลว่าทนายตั้มหลบหนีกระบวนการยุติธรรม แต่ทนายตั้มจะหนีประชาลงทัณฑ์ไม่ได้ เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีใครที่สามารถติดต่อทนายตั้มได้ และไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปอยู่ที่ไหน ตนจึงมีสิทธิ์สงสัยว่าทนายตั้มจะหลบหนีหรือไม่



พร้อมบอกว่าการที่ทนายตั้มหายเงียบไปนั้นมีอยู่ 3 ประเด็น 1 คือพยายามที่จะเก็บไต๋ไว้ไม่เอาหลักฐานออกมาเปิดเผย เพราะจะเก็บไว้ใช้ในชั้นศาล ซึ่งตนไม่เชื่อในประเด็นนี้ เพราะทนายตั้ม หากมีหลักฐานก็น่าจะออกมาเปิดเผย เพราะเป็นทนายโซเชียลต้องการชิงกระแส



ประการที่ 2 คือสู้ไม่ได้จึงไม่ออกมาเปิดเผยเพราะไม่รู้ว่าทางฝั่งเจ๊อ้อยและพวกของตนจะตอบโต้กลับไปอย่างไร ส่วนประการที่ 3 ที่ยังไม่สามารถที่จะตัดทิ้งได้นั้น คือทนายตั้มจะหลบหนีหรือไม่ ไม่ใช่เพียงแค่หนีสังคมแต่ยังเป็นการหนีการดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้วด้วยเช่นกัน



ในส่วนประเด็นที่วกกลับมาที่เงิน 39 ล้านนั้น ซึ่งคดีนี้เดิมทีที่เจ๊อ้อยไม่ได้คิดที่จะดำเนินคดี เนื่องมาจากเจ๊อ้อยเข้าใจว่า เขาเป็นคนทำให้เพื่อนของทนายตั้มได้รับความเสียหายจากการถูกแก๊งสแกมเมอร์ (คริปโต) ดูดเงินออกจากบัญชีจำนวน 39 ล้านบาท จึงทำให้เจ๊อ้อยรู้สึกผิดจึงทำการโอนเงินคืนให้กับทางฝั่งทนายตั้ม จำนวนเงินดังกล่าวถือเป็นจำนวนเงินที่เยอะไม่ได้มีการเซ็นสัญญาในลักษณะของทนายตั้มมีการแนะนำคนเหล่านี้ให้เจ๊อ้อยรู้จักในการโอนเงินให้แก๊งสแกมเมอร์ (คริปโต)



โดยเพื่อนที่ทนายตั้มแนะนำมานั้นมีการอ้างว่า สนิทกับคนที่ชื่อแทนไท ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในแวดวงหนึ่งในสังคม แต่ด้านนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมออกมาชี้แจงว่า บุคคลนั้นไม่ใช่นายแทนไท แต่เป็นคนที่ทำธุรกิจอีกสายหนึ่ง ซึ่งนายอัจฉริยะเองก็รู้จัก พร้อมบอกว่า มีการแบ่งเงินคนละครึ่งจริงหรือไม่



ซึ่งถ้าหากประเด็นในส่วนนี้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกับธุรกิจสีเทา หรือสีดำ มันจะมีการถูกตั้งข้อสงสัยกับประเด็นที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและจอมแฉชื่อดัง ที่เคยเป็นคู่กรณีกับทนายตั้มก่อนหน้านี้ และเคยมีการมาเปิดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจพนันออนไลน์ พร้อมมีการเปิดเส้นทางการโอนเงินเข้าบัญชีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอักษรย่อ ป. นำหน้า ซึ่งบังเอิญว่าการโอนเงินที่ทนายตั้มได้รับจากเจ๊อ้อยที่อ้างว่าเป็นเงินเดือนตัวเอง เดือนละ 3 แสนนั้น มีการโอนเงินเข้าบัญชีตัวอักษรย่อ ป. เหมือนกัน ที่อ้างว่าเป็นพี่สาวภรรยา หากเป็นอย่างนั้นจริงตนมองว่าเป็นกระบวนการที่ต้องสืบหาต่อไปว่าเป็น ขบวนการอะไร ซึ่งตนมองว่าประเด็นทั้ง 2 ประเด็นนี้มีความสอดรับกันกับผู้หญิงที่ชื่ออักษรย่อ ป. และ ต้องมีการตรวจสอบว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวกันหรือไม่



ในส่วนประเด็นอักษรย่อที่มีการเผยแพร่ตามโลกโซเชียลออนไลน์ที่คาดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับทนายตั้มนั้น ตนมองว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องมาทำการตรวจสอบว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่ส่วนตัวหลังจากที่ตนมีโอกาสพูดคุยกับเจ๊อ้อย ตนเชื่อว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ อาจจะมีส่วนรู้เห็นก็เป็นได้ เพราะหลังเกิดเหตุ นายนุ และภรรยาหายตัวไป ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจจริงคนปกติทั่วไปที่ได้รับผลกระทบเช่นนี้คงต้องรีบออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว โดยส่วนตนเชื่อว่าอาจจะมีหมายจับเร็วๆ นี้ และคาดว่าน่าจะมีหมายจับมากกว่าหนึ่งคน



ในส่วนประเด็นเว็บไซต์ Nakee ที่มีความใกล้เคียงกับชื่อเว็บไซต์เจ๊อ้อยได้กับข้อมูลเจ้าที่ตำรวจว่าเป็นเว็บไซต์ที่กำลังจะเปิดในการเล่นหวยออนไลน์ ซึ่งขณะนี้ยังเปิดให้ใช้บริการอยู่ไม่เป็นไปได้หรือไม่ ว่าเว็บไซต์ดังกล่าวอาจจะถูกแอบอ้าง หรือถูกนำไป copyใช้ นั้น ส่วนตัวตนมองว่าเป็นไปได้หลายกรณี 1. มันคือชื่อเดียวกัน หรือมันเป็นแอปพลิเคชันเดียวกันหรือเปล่า เพราะบางทีชื่อเดียวกันอาจจะเป็นคนละแอปฯ 2. มันถูกไปใช้อย่างอื่นหรือถูกขายไปหลายทอดหรือไม่ แล้วก็มีการเก็บเงินรายละเท่าไหร่ก็ว่ากันไปแล้วแสดงว่าชื่อเว็บไซต์นี้มีอยู่จริงอยู่ในวงการ



เพราะฉะนั้นมันก็น่าสงสัยว่าการปั้นโครงการมันมีเรื่องที่น่าเชื่ออยู่จริง ๆ ใช่หรือเปล่า ว่ามันมีอยู่จริงแต่มันไม่ได้มีการถูกนำมาใช้ เพราะว่าทางทนายตั้มได้มีการย้ำว่า เงิน 2 ล้าน ยูโรนั้น เขาเป็นคนเอาไปเองทั้งหมด ซึ่งแสดงให้ว่า เขาไม่ได้มีการลงทุน จึงไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการปั้นโครงการที่ผ่านมาได้ ซึ่งในวันนี้ทางทนายตั้มก็ไม่สามารถตอบเรื่องภาษีได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน เพราะทุกอย่างขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทั้งหมด



ในส่วนเจ๊อ้อยนั้น หลังจากให้การกับทางเจ้าที่ตำรวจ ตนสังเกตสีหน้าท่าทีของเจ๊อ้อยมีความสบายใจมากขึ้น และตัวเชื่อว่าทางเจ้าที่ตำรวจจะต้องทำงานนี้ด้วยความรอบคอบอย่างแน่นอน นอกจากนี้ตนยังตั้งข้อสังเกตว่าหากเป็นคดีใหญ่มันอาจจะไม่ได้แค่หมายเรียก เพราะถ้ามันเป็นคดีใหญ่ก็มีการออกหมายจับ และถ้าเป็นไปตามที่นายสนธิมีการตั้งคำถามว่า มีการข่มขู่พยานหรือไม่ เพราะถ้าใช่ก็ต้องมีโอกาสที่จะคัดค้านประกันตัว และถ้าทนายตั้มมีการประเมินแล้วจากหลักฐานพยานก็ต้องรู้ว่าจะมีโอกาสที่เขาจะได้ประกันตัวหรือไม่



ในส่วนประเด็นทรัพย์สินของทนายตั้มนั้น ตนเชื่อว่า ทางเจ้าที่ตำรวจก็ต้องมีการตรวจทราบเส้นทางการเงินของทนายตั้ม และเท่าที่ประเมินดูตนเชื่อว่า ทนายตั้มน่าจะมีเงินทำธุรกิจอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากอาชีพทนายความ ก่อนที่จะมาเจอเจ๊อ้อย เพราะทนายตั้มเริ่มมีเงินก่อนเจอเจ๊อ้อย เนื่องจากตนดูจากหลักฐานความร่ำรวยที่ทนายตั้มเคยแสดงออกมา จึงทำให้ตนเกิดการคำถามว่า ทนายตั้มทำอาชีพอะไรกันแน่



ส่วนในเรื่องของสรรพากรนั้น นานปานเทพ ระบุว่ามีผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่งเป็นคนบรรยายอยู่ในองค์กรอิสระแห่งหนึ่ง มีการบรรยายเรื่องภาษีกรณีเจ๊อ้อยกับผู้ชายคนนี้ ผู้อาวุโสวิเคราะห์ว่าถ้าไม่ใช่เงินฉ้อโกง และไม่ใช่เงินเสน่หา เขาก็ต้องจ่ายเงินได้บุคคลธรรมดา จะมาอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หาไม่ได้ เนื่องจากทนายตั้มไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือคนภายในครอบครัวของเจ๊อ้อย และในกรณีนี้ภาษีก็จะถูกเก็บอีกแบบนึง ซึ่งในปี 2565 และปี 2566 เงิน 71 ล้านบาทนั้นไม่ได้ถูกระบุไว้ ซึ่งทนายตั้มยังไม่มีการออกมาชี้แจงว่ามีการยื่นภาษียังไง หรือมีการยื่นจริงหรือไม่



ทั้งนี้ นายสนธิอยู่ในระหว่างร่างหนังสือเตรียมร้องสภาทนายความ และสรรพากร ซึ่งคาดว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า

โดย paranee_s

4 พ.ย. 2567

239 views

EP อื่นๆ