“พิธา” มองคดี “ยุบพรรค” มีโทษหนัก เตรียมขอเวลาศาลชี้แจงเพิ่ม ฮึ่ม “ชัยธวัช” เตรียมการแล้วหลังสงกรานต์

นาย ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสืน นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมด่วนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในเมียนมา พร้อมสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ ตั้งคณะทำงานรับมือสถานการณ์เมียนมา



โดย ปานปรีย์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 วันนี้ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายความมั่นคง โดยนายกรัฐมนตรี จะนั่งเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้ เนื่องจากเป็นประธานของฝ่ายความมั่นคงอยู่แล้ว



นอกจากนี้จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาด้วย ซึ่งเป็นคณะทำงานชุดเล็ก เพื่อให้มีการปรึกษาหารือเป็นประจำ แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ก็จะเข้าพิจารณาในคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน



ปานปรีย์ กล่าวอีกว่า การตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมานี้เป็นไปเพื่อดูแลสถานการณ์เมียนมาโดยตรง ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง ได้รายงานสถานการณ์ว่า ขณะนี้ยังไม่มีความรุนแรงในเมืองเมียวดี ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุข แต่ประชาชนชาวเมียนมาคงไม่ได้สบายใจ เพราะไม่ทราบว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น


“พิธา” นับนิ้วคนออกมาแจง “เมียนมา” ขอใช้สนามบินแม่สอด บอกไม่ตรงกันเลย จี้แถลงอย่างเป็นทางการ ชี้ ถ้าปล่อยให้คลุมเครือจะลุกลามกว่า “ชักศึกเข้าบ้าน” ย้ำต่างชาติรอฟัง เตือน นายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์การทูตไม่ควรพูดออกสื่อ ตกใจ พูดได้ไง รัฐบาลเมียนมาอ่อนกำลัง



9 เม.ย. 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีท่าทีรัฐบาลต่อการที่ทางการเมียนมาขอใช้สนามบินแม่สอด ว่า อย่างที่ตนได้สื่อสารไปหลายทิศทางว่าอยากเห็นความโปร่งใสและรายงานสถานการณ์ให้กับคนในพื้นที่ เพราะคนที่อยู่ในพื้นที่ก็ได้รายงานมาที่ สส.พรรคก้าวไกล นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าจะมีการใช้ความรุนแรงเพิ่มเติม ซึ่งพอรัฐบาลไม่ได้มีการชี้แจง ทางตนและพรรคก้าวไกลจึงตั้งคำถามให้มีการแถลงเกิดขึ้น โดยรัฐบาลได้ตอบสนองมาทั้งหมด 4 ครั้ง ได้แก่ x ของนายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ , แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ , คำสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวงกลาโหม ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคุมเครือไม่ชัดเจน ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน



“หลักของเราก็คือว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามหลักกฏหมายสากล และเรื่องสิทธิมนุษยชน มีความเท่าเทียมกัน แล้วอธิบายได้ ตรวจสอบได้ ถามได้ ผมคิดว่ามันจะคลายข้อสงสัยและเป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ เป็นประโยชน์กับทางรัฐบาลเอง” นายพิธา กล่าว



นายพิธา กล่าวต่อว่า ในส่วนของภาพใหญ่ก็อยากจะย้ำสิ่งที่พูดกับนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากให้เข้าสู่ปัญหาอย่างรอบด้านมากขึ้น เพราะกลุ่มในประเทศเมียนมามีหลายกลุ่ม และแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันออกไป ถ้าเข้าสู่ปัญหาไปที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก็จะดูว่าเราทิ้งน้ำหนักไปให้ฝั่งนั้น และจะไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ



อย่างที่สอง เป็นเรื่อง Inter Agency Myanmar Task Force ในประเทศไทย หรือกองกำลังเฉพาะกิจที่จัดการเรื่องนี้โดยตรง เพื่อจะทำงานในเชิงรุกมากขึ้น



เมื่อถามย้ำว่านายปานปรีย์ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า ในเที่ยวบินนั้นไม่มีคนหรืออาวุธ แต่ก็ยังไม่กับการให้สัมภาษณ์และแถลงของส่วนที่เกี่ยวข้องเมื่อวาน จะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก็จะยิ่งไม่มีความชัดเจน บางทีจุดประสงค์ของการแถลงที่กระทรวง ก็เพื่อจะลดข่าวลือ เพื่อจะให้ความมั่นใจกับประชาชนในพื้นที่และคนไทยว่าประเทศไทยจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง



นายพิธา ยังนับนิ้วคนที่ออกมาชี้แจง พร้อมกล่าวว่านายปานปรีย์ก็เป็นคนที่ 5 ที่ออกมาพูดแล้วไม่ตรงกัน ทำให้เกิดความสงสัยว่ามีสิ่งที่ร่ำลือกันในพื้นที่ว่ามีคนในจังหวัดเมียวดีไปด้วยหรือไม่ มีผู้จัดการธนาคารไปหรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่ได้เชื่อ แต่ถ้าจะจบทุกเรื่อง รัฐบาลจะต้องแถลงเป็นเรื่องเป็นราว



ส่วนจะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า น่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ตามมา ในเชิงการต่างประเทศเราต้องมีช่องทางที่ไม่ให้เกิดสิ่งที่ลุกลาม ซึ่งตนคิดว่านายปานปรีย์น่าจะเข้าใจ ถ้าไม่แถลงให้ชัดเจนก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากกว่านี้ ย้ำว่า รัฐบาลควรต้องต่อสายไปที่คนในพื้นที่ ชนกลุ่มน้อย และกลุ่ม NUG



“เขาเล่าให้ผมฟังว่าติดต่อทางรัฐบาลหลายครั้งแต่ว่าไม่ยอมที่จะเจรจาด้วย … ตอนที่อยู่เจนีวา ประชุมรัฐสภาโลก IPU ก็มีคนของทางเมียนมาไปที่เจนีวา เขาก็ได้พูดความในใจของฝั่งเขาว่า พอ Diplomacy ของไทยไม่รอบด้าน สิ่งที่เขาพูดหรือเสนอก็ไม่ได้รับฟัง ผมคิดว่าในเมื่อน้ำหนักมันมาแบบนี้แล้ว มันถึงเวลาที่จะต้องเข้าถึง อย่างน้อยก็ต้องพูดคุยทั้ง 3 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นชาติพันธ์ุ แต่ละรัฐก็เป็นผู้นำของตัวเอง , กลุ่ม NUG และรัฐบาลทหารในปัจจุบัน” นายพิธา กล่าว



นายพิธา ระบุว่า ถ้าเราอธิบายให้รัฐบาลทหารฝั่งว่าเราต้องการข้อมูลที่รอบด้าน ครบถ้วน จะทำให้เราเข้าใจในสถานการณ์เมียนมาดีขึ้น ก็จะสามารถวางยุทธศาสตร์ได้มากขึ้น



“ตอนที่ผู้นำ NUG อยู่ที่เจนีวา ก็เล่าให้ผมฟังว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ๆ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะพูดผ่านสื่อ ผมก็ถามเขากลับว่า เรื่องการเผาข้าวโพด การค้ามนุษย์ ออนไลน์สแกม ท่านผู้นำชนกลุ่มน้อยสามารถที่จะช่วยเมืองไทยด้วยได้หรือไม่ แล้วเราก็ยินดีที่จะช่วยเรื่องระเบียงมนุษยธรรมอย่างเท่าเทียม เขาก็บอกว่านั่นแหละคือสิ่งที่เขารออยู่ ถ้าเป็นเรื่องจริง การที่เราเข้าถึงทุกฝ่ายได้อย่างเท่าเทียมและไม่เลือกข้าง มันคือโอกาสที่จะทำให้เราเข้าใจปัญหาในเมียนมามากขึ้น และทุเลาปัญหาที่มีอยู่ในบ้านเรา มันคือ Win-Win Situation ” นายพิธา กล่าว



เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเข้าไปพูดคุยเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา เพราะอาจจะเป็นจุดที่เขาอ่อนกำลัง นายพิธา ระบุด้วยท่าทีตกใจว่า ตนเห็นด้วย แต่ไม่น่าออกสื่อ เรื่องพวกนี้เป็นยุทธศาสตร์การทูต ไม่ควรจะพูดว่าเขากำลังอ่อนแอ แล้วเราจะขอไปคุยกับเขา


ขณะที่ “พิธา” มอง รบ.แก้ปัญหาขนย้าย “แคดเมียม” ไม่ได้ เหตุไม่มีโรดแมป-บังคับใช้กฎหมาย PRTR ชัดเจน ย้ำตอนนี้ป้องกันไม่ทัน ต้องเยียวยาแล้ว ย้ำนอกจากแข่งกับเวลา ยังแข่งกับสุขภาพประชาชน



9 เม.ย. 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์เรื่องการจัดการแคมเมียมในตอนนี้ ว่า สิ่งที่รัฐบาลขาดไปและแก้ไขปัญหาไม่ได้ คือการบังคับใช้กฎหมายกฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) เป็นสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนเกี่ยวกับชนิดและปริมาณสารเคมี ซึ่งจะเคลื่อนย้ายสารเคมีต้องแจ้งรัฐก่อน เรื่องนี้เมื่อเรามองลงมาจะทำให้เห็นความโปร่งใส ในการขนขยะสารเคมีไปทิ้ง และจะทำให้แก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น



ตนเข้าใจว่าตอนนี้บริษัทที่เกี่ยวข้องก็เป็นของคนจีน มองว่ารัฐบาลต้องเข้าไปเยียวยา เพราะถ้าจะป้องกันตอนนี้ก็อาจทำได้ไม่ทัน



เมื่อถามว่าเรื่องนี้ค่อนข้างอันตราย รัฐบาลควรทำภายใต้กรอบเวลาหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ใช่ ตอนนี้ทุกอย่างแข่งกับเวลาทั้งนั้น ทั้งฝุ่น PM 2.5 และแคดเมียม



“อย่างที่พูดหลายครั้งว่าพอไม่มีโรดแมป ไทม์ไลน์ในการทำงาน ก็ไม่รู้ว่าตกลงอาทิตย์หน้าทำอะไร เดือนหน้าทำอะไร มันก็แข่งกับเวลา แข่งกับสุขภาพประชาชนด้วย” นายพิธา กล่าว


“ผมไม่สามารถเป็นพูดกับเขาได้ว่าตอนนี้รัฐบาลอ่อนแอที่สุด ขอใช้โอกาสนี้ในการพูด” นายพิธา กล่าว



นายพิธา กล่าวว่า ต่างชาติทั้งในอาเซียนเอง และประเทศมหาอำนาจ ก็รอท่าทีที่เป็นเชิงรุกมากขึ้น ไม่เช่นนั้น ยุทธศาสตร์ 5 ข้อของอาเซียนจะไปไม่ได้ ตอนนี้ก็รอบทบาทไทยร่วมกับอาเซียนอยู่



“พิธา” มองคดี “ยุบพรรค” มีโทษหนัก เตรียมขอเวลาศาลชี้แจงเพิ่ม ฮึ่ม “ชัยธวัช” เตรียมการแล้วหลังสงกรานต์ เผยทีม กม. มีไทม์ไลน์หน่วยงาน คอยเคลียร์ปัญหา ปัดตอบอัยการนัดทักษิณ คดี ม.112 ไม่ใช่คนเกี่ยวข้อง ย้ำกฎหมายควรได้สัดส่วน



9 เม.ย.2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อม หลังมีกระแสที่พรรคก้าวไกลอาจจะถูกยุบในวันที่ 21 เม.ย.นี้ โดยระบุว่ารายละเอียดคดีนี้เยอะ มีโทษหนักกว่าคดีที่ผ่านมา คงจะต้องมีการขอเวลาตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อที่พรรคจะได้ชี้แจงเพิ่มเติม อีกทั้งพรรคเองมีปฏิทินที่ระบุช่วงไทม์ไลน์ของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง กกต. ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งในแต่ละส่วนจะมีการแก้ไขปัญหาตามแต่ละจุดโดยทีมกฎหมาย ทีมยุทธศาสตร์ โดยคาดว่าหลังสงกรานต์นี้ น่าใช้ธวัชตุลาคมหัวหน้าพรรคก้าวไกล อาจจะแถลงแนวทางการต่อสู้คดีอย่างเป็นทางการ



ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงกรณีที่อัยการนัดหมาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าฟังว่าจะมีการยื่นฟ้องในคดีมาตรา 112 หรือไม่ นายพิธาระบุว่า ตนไม่มีความเกี่ยวข้องทั้งในด้านโจทก์และจำเลย และไม่รู้ว่าคำฟ้องมีลักษณะอย่างไร จึงขอไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับคดีของนายทักษิณ แต่จะขอพูดถึงหลักการทางกฎหมาย ว่าโทษกับความผิดควรได้สัดส่วนกัน และไม่อยากให้ผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองโดนโทษมที่หนักมากเกินไป




โดย kanyapak_w

9 เม.ย. 2567

168 views

EP อื่นๆ