สุดมันส์ ช่องสามจัดเวทีดีเบต โค้งสุดท้าย “ตามหาผู้ว่าเลือกตั้ง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่องสามจัดเวทีดีเบต “ตามหาผู้ว่าฯเลือกตั้ง” ที่ ลาน Parc Paragon ชั้น Main ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมี นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และ นายกรรชัย กำเนิดพลอย เป็นผู้ดำเนินรายการ  ขณะที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. เข้าร่วมประกอบด้วย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครอิสระ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ  น.ต.ศิธา  ทิวารี ผู้สมัครจากพรรคไทยสร้างไทย



ถามหากตัวเองไม่ได้ลงผู้ว่าฯ จะเลือกใคร?

เมื่อเริ่มรายการผู้ดำเนินรายการได้ถามทั้ง 5 คนว่าหากไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งจะเลือกใครป็นผู้ว่าฯ กทม.

โดยนายวิโรจน์ ตอบคำถามว่า “ผมเลือก อ.ชัชชาติ”   เพราะเชื่อว่า อ.ชัชชาติ จะเป็นคนที่ปกป้องประชาชนที่จะออกมาเรียกร้องทางการเมือง และป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยปี 2553

ขณะที่ นายชัชชาติก็ตอบรับว่า จะทำ เต็มที่ตนต้องดูแลประชาชน เพราะประชาชนเลือกเรามาไม่ใช่รัฐบาล  ผู้ว่าเหมือนพ่อเมือง  ความปลอดภัยก็ต้องดูแล เก็บขยก็ต้องดูแล หากได้รับอันตรายเราก็ต้องดูแล

ขณะที่นายสกลธี  ระบุว่า การเลือกผู้ว่าเป็นเรื่องการบริหารงาน ไม่ใช่บริบทการเมืองใหญ่  

เช่นเดียวกับนายสุชัชชวีร์ กล่าวว่า การเลือกผู้ว่าฯกทม. เราเลือกมาดูแลประชาชน แก้ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาสาธารณสุข ไม่อยากให้เป็นเวทีทางการเมือง  

ส่วนน.ต.ศิธา บอกว่า ผู้ว่าฯต้องบังคับใช้กฎหมายของตัวเองให้ครบ และต้องดูแลประชาชนใน กทม. ด้วย คนที่จะมาม็อบ ไม่อยากมีใครมากินนอนบนถนน เมื่อมีการสลายการชุมนุมผู้ว่าฯต้องดูแลไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อเด็ดขาด

จากนั้นนายสกลธีจึงตอบคำถามว่า   “ผมคงเลือกพี่เอ้”   ทุกคนทำงานได้แต่บางครั้งการเลือกคนกรุงเทพมีบริบทมากกว่าการทำงานเสมอ  

ขณะที่ นายสุชัชชวีร์ กล่าวว่า หากถามว่ารักใครที่สุดก็ตอบว่ารักสกลธีที่สุด แต่หากถามว่าจะเลือกใคร คือ ใครเข้าไปแล้วต้องทำตามได้ ต้องมีทีมงาน เขาต้องมาพร้อม สก.  ซึ่งมีทั้งคุณวิโรจน์ หรือ น.ต.ศิธา แต่ถ้าให้เลือกผมเลือกพี่ปุ่น  (ศิธา)

ด้าน นายชัชชาติก็กล่าวว่า  “ผมเลือกคุณวิโรจน์”   ทุกคนดีหมด แต่นายวิโรจน์ ทำให้ทีมงานตนต้องกลับไปคำนวนตัวเลขและฉุกคิด หลายๆเรื่อง เราต้องทำการบ้านเพิ่มเติม

ส่วน น.ต.ศิธา ระบุว่า “ผมจะเลือกคุณชัชชาติครับ”  เราเจอหลายเวที คนสงสัยว่าเขาอิสระหรือเปล่า ซึ่งพบว่าเขาอิสระจริง มีคนบอกว่า รักทักษิณ ยิ่งลักษณ์ให้เลือกชัชชาติ  ซึ่งชัชชาติปฏิเสธ และแสดงความจริงใจ ว่าอยากเป็นอิสระ เขาเป็นคนเก่งคนดี

ประสานเสียงเตรียมสื่อสารกับรัฐบาลเปิดเมือง  พร้อมชนหากรัฐบาลไม่ตอบสนอง

ต่อมานายสรยุทธได้ระบุว่าระหว่างที่จัดรายการได้มีจ้าหน้าที่จากเขตปทุมวัน มาบอกให้รักษาระยะห่างไม่เช่นนั้นต้องหยุดการจัดกิจกรรม  จึงตั้งคำถามว่า หากแต่ละคนได้เป็นผู้ว่าฯ จะจัดการอย่างไร

นายสกลธีระบุว่า ณ วันนี้มีระเบียบต้องทำตาม แต่วันนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องเปิดทุกอย่าง และจากการลงพื้นที่ชาวบ้านไม่ไหวแล้ว  ใครที่อยากใช้ชีวิตประจำวันก็ออกมา   ซึ่งผู้ว่าฯก็สามารถเสนอได้

ขณะที่นายวิโรจน์กล่าวว่าต้องหารือกับรัฐบาล เรื่องนี้ไม่มีมหานครไหนในโลกที่ทำ  เราปิดเมืองเพื่อเตรียมระบบสาธารณสุข หากจะควบคุมแบบนี้ถือว่าไม่มีวิสัยทัศน์ หากเป็นผู้ว่าตนจะฉีดวัคซีน เตรียมยา เตรียมการเพือเปิดหน้ากาก ผู้ว่าฯต้องคุยกับรัฐบาล และขอตั้งคำถามว่าการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่ออะไร  รัฐบาลต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตของประชาชน ต้องกำหนดเกณฑ์ว่าต้องให้กทม. ทำอะไร เราจะทำตามนั้น และเมื่อเราทำตาม รัฐบาลต้องทำตาม กทม. เหมือนกัน

“หากไม่ให้เปิดก็บอกนายกฯตรงๆว่าคุณเอาเหตุผลอะไรมาบอกประชาชน” นายวิโรจน์กล่าว

ขณะที่นายสุชัชชวีร์ กล่าวว่า ตนขอบคุณเจ้าหน้าที่เขตที่สุภาพ และไม่สองมาตรฐานที่มาจากเขตปทุมวัน  หากตนเป็นผู้ว่าตนต้องการให้ กทม. เปิด และระเบียบที่ทำให้ล่าช้าทุกอย่างต้องเลิกไป  แต่ก่อนจะเดินไปบอก กทม. ต้องจัดการได้ โควิดต้องติดได้ แต่ต้องไม่ป่วยไม่ตาย




เมื่อถามว่า หากรัฐบาลไม่ทำตามจะทำอย่างไร  “ผมจะกางแผนให้ประชาชนว่าแผนของผมกระชับและดีกว่ารัฐบาลกลางอีก “

สำหรับนายชัชชาติ ก็บอกว่าขอ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สะท้อนความไม่ชัดเจนของกฎ เรามาที่นี่เราต้องขออนุญาต มีการอธิบายแล้วว่าแบบไหนทำได้หรือไม่ได้ กทม. ต้องอำนวยความสะดวก ทุกคนต้องผ่อนคลายได้  

เมื่อถามว่าหากเสนอให้รัฐบาลเปิดแต่รัฐบาลไม่เปิด ในฐานะผู้ว่า กทม. จะทำอย่างไร นายชัชชาติ กล่าว่า จะบอกประชาชนว่าอุปสรรคคืออะไร  เราต้องชี้แจงว่าเราเห็นว่าควรจะเปิด หากรัฐบาลไม่เห็นด้วย  ก็จะบอกประชาชนว่าอย่าเลือกเข้ามา

ด้าน น.ต.ศิธา กล่าวว่าต้องมาดูว่า ตามเกณฑ์ทุกประเทศทั่วโลกทำอย่างไร หากมีภูมิคุ้มกันหมู่ก็ต้องคุยกับรัฐบาล เรื่องนี้ตนจะสั่งว่าอย่าไปเข้มงวด อย่างเรื่องหน้ากากหากสาธารณสุขบอกไม่ให้ถอดเราก็ต้องบอกรัฐบาล ว่า พัทยาเป็นแซนด์บอกซ์ได้ ทำไม กทม.เป็นไม่ได้




ตั้งวงคุยโชว์วิสัยทัศน์ลดค่าโดยสาร BTS

ต่อมาได้มีการตั้งคำถามถึงการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้า BTS ออกไปอีก 30 ปี และแต่ละคนจะมีนโยบายในการลดค่าโดยสารอย่างไรและจะทำอย่างไรกับหนี้กว่าแสนล้าน

นายชัชชาติกล่าวว่า   เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  ก่อนโควิดมีคนใช้บริการ BTS 9 แสนคน ต่อวัน  เรื่องแรกที่ต้องไปดูคือเรื่องโอนหนี้จากรัฐบาลต้องดูว่าสภา กทม. รับหรือยัง หลายโครงการที่รับมาทำไมต้องเอามา  รัฐลงทุนเพราะรัฐเก็บภาษี จากนั้นก็ดูว่าการทำสัญญาถึงปี 2585 ทำถูกกฎหมายหรือไม่ เพราะพอไม่เข้า พ.ร.บ.ร่วมทุนก็ไม่มีใครตรวจสอบ  

“เรื่องการต่อสัมปทาน BTS คือมรดก คสช. เพราะใช้มาตรา 44 ผมจะยื่นหชนังสือถึง ครม.ว่าไม่ต่อสัมปทาน และให้เข้าตาม พ.ร.บ.ร่วมทุน”

ขณะที่นายวิโรจน์ ระบุว่า  กทม. ต้องไม่รับหนี้มา ขณะที่ต้องให้รัฐบาลจ่ายหนี้ของ กทม. เรื่องภาษีที่ดินที่รัฐบาลยังติดอยู่ สามหมื่นล้าน  นอกจากนี้ก็ตัดงบ 4,000 ล้าน ของ กทม. ทีสนับสนุนรัฐบาล  ก่อนที่จะเอางบส่วนนี้ไปเคลียร์หนี้ BTS เพราะ ให้ตัดซะ  ตอนนี้มี 34,000 ล้าน เราจะไปเคลียร์หนี้ก่อน  จากนั้นก็เปิดประมูลใหม่

“สกลธี” ย้ำจะทำได้ต้องให้ถอนออกจาก ครม.

ด้านนายสกลธีระบุว่า ที่จะบอกว่าลดราคาหรือรื้อต้องดูว่าทำได้ไหม  เพราะหากจะทำก็ต้องให้ ครม. ถอนออกมา จึงจะทำได้ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น ผมก็จะเปิดเจรจาคุยใหม่

“หากผมเป็นผู้ว่าผมจะเจรจาใหม่ ทำให้ลดมากกว่านี้แต่ต้องรอ ครม. กลับมาก่อน  ต้องรอให้ ครม. ไม่รับรอง” นายสกลธีกล่าว  





ว่าที่ผู้ว่าฯ โชว์ราคาในดวงใจ

ส่วนราคาจะอยู่ที่เท่าไหร่ นายสกลธีกล่าวว่า “ผมหาเสียงสามบาทก็ได้ แต่มันทำไม่ได้ ต้องเอาความเป็นจริงมาพูด ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 40-45 บาท”  

นายสุชัชวีร์กล่าวว่า  ตนเสนอว่าหากเก็บค่าโดยสารเที่ยวละ 20 บาท วันหนึ่งมีคนขึ้น 1 ล้านคน  ปีหนึ่งก็มีรายได้เกิน 8,000 ล้าน  ดังนั้นถ้าผมได้เป็นราคาจะอยู่ที่ 20-25 บาท

น.ต.ศิธา  กล่าวว่า  ตนจะดูว่าสมควรเก็บเท่าไหร่ หากบอก 60 ผมจะบอกว่า ต้องการให้อยู่ 30 บาทถ้ามีส่วนต่าง กทม. และรัฐบาลต้องออกค่าส่วนต่างให้ไม่เกิน 30 บาท

ขณะที่นายชัชชาติ ระบุว่า ต้นทุนไม่เกิน 25 บาท  ดังนั้นต้องเอาคนมาประมูล การประมูลจะเห็นเลยว่าต้นทุนเท่าไหร่ และ ไม่เกิน 30 บาท  แต่ขอให้ดูค่าเฉลี่ยน 8 สถานี  8 สถานี 30 บาท แบบนี้อยู่ได้

ด้านนายวิโรจน์กล่าวว่า ร่างสัญญาที่ต่อเรายังไม่เห็นตัวจริงเลย ตนกังวลว่า หากไม่เคลียร์หนี้เราจะโดนดอกเบี้ยจนแก้ปัญหาไม่ได้  โดยราคาที่เหมาะสมจะอยู่ที่อยู่ที่ 15 -45 บาท




ถกเดือดการเมืองใหญ่ - การเมืองกรุง

ต่อมาผู้ดำเนินรายการได้สอบถาม น.ต.ศิธา ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คิดว่าจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ น.ต.ศิธากล่าวว่า ถ้าจะมองว่าเอาผลแพ้ชนะเป็นตัวตั้งไม่ใช่ เหมือนลอดตเตอรีมีที่สองสามสี่ เราเปิดตัวช้าเราก็ต้องเข้าใจ หากมีเวลาเราก็นำเสนอผลงานได้มากกว่านี้ แต่ตนไม่ได้ลงคนเดียว ตนมีส.ก. อีก 50 เขต และทำงานได้กับทุกคน  หากนายชัชชาติ ไม่มี ส.ก. เอา ส.ก.ผมไปเลย สนับสนุนทุกคนที่ทำงาน

“ไม่ว่าใครเป็นผู้ว่า ผมจะให้ สก.ไปช่วยทุกคน” น.ต.ศิธากล่าว

“พี่เอ้” ยืนซด “ชัชชาติ” ปมลงอิสระ  เจอสวน ได้เป็นผู้ว่าฯแต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้ ส.ก.

จากนั้น นายสุชัชชวีร์กล่าวว่า   ความจริงคือผู้ว่าคนเดียวทำงานไม่ได้ นโยบายดียังไงก็ต้องได้งบประมาณ จะไปเอางบประมาณจากไหน ถ้าไม่ได้ ส.ก.

ทำให้ช่วงนี้นายชัชชาติสวนว่า “แม้พี่เอ้ เป็น ผู้ว่าฯ แต่ก็ไม่แน่ว่าพี่เอ้จะมี ส.ก.  มันต้องเริ่มต้นจากการทำงานกับทุกคนให้เกียรติได้ทุกคน”  

ส่วนนายสกลธี บอกว่าตนได้เปิดตัวทีมงานทั้งหมดแล้ว  ผู้ว่าฯต้องทำงาน ขณะที่ ส.ก.ต้องตรวจสอบการทำงานของผู้ว่าฯ  แต่หากสิ่งที่ผู้ว่าฯ ทำนั้นดี  ส.ก.ที่ไหนจะกล้าไม่เอา  

ด้านนายวิโรจน์กล่าวว่า เป้าหมายเราคือเมืองเท่ากัน เราจึงต้องมีนโยบาย 12 นโยบาย ที่สอดคล้องทั้งเรื่องนโยบาย เรื่องจัดเก็บงบประมาณ   เรื่องข้อบัญญัติ  เราตั้งเป้าหมาย งบประมาณ  นี่คือการคิดแนวคิดที่จะทำให้เราไม่ต้องติดขัดไม่งั้นก็จะมีข้ออ้าง ซึ่งได้เตรียมกลไก หากตันที่ ข้อบัญญัติ ก็จะเสนอให้สภาแก้ได้

ต่อมานายชัชชาติ ได้ยืนยันว่า การสมัครครั้งนี้มาแบบอิสระไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเพื่อไทย ออกมาสองปีแล้ว คนที่อยู่กับผม คนที่ทำงานไม่เกี่ยวกับพรรคการเมือง

“สกลธี” ชี้ “สุเทพ” กดปุ่มไม่ได้ แต่สนับสนุนได้

ต่อมาผู้ดำเนินรายการได้ถามนายสกลธีถึงการประกาศสนับสนุนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และถามด้วยว่า นายสุเทพกดปุ่มสั่งได้หรือไม่ ทำให้นายสกลธีตอบว่า “สุเทพกดปุ่มผมไม่ได้ แต่สนับสนุนได้  การลงอิสระไม่ต้องตอบแทนใครตอบแทนคน กทม. อย่างเดียว”

น.ต.ศิธากล่าวต่อว่า ตอนนี้คนที่ลงเลือกตั้งเสนอการเมืองที่เป็นผู้นำ ทุกคนพร้อมที่จะทำงาน ตนไม่มีปัญหา แต่ตนมี ส.ก. ที่พร้อมจะทำงาน ผมถึงบอกว่าอย่าไปคิดว่าจะเป็นการโหวตยุทธศาสตร์ หรือเราได้คะแนนมากที่สุด ใครได้เป็นมีประโยชน์เราก็สนับสนุน  




“วิโรจน์” – “สกลธี”  แลกหมัดจุดยืนการเมือง

อย่างไรก็ตามการดีเบตก็ดุเดือดอีกครั้ง เมื่อนายวิโรจน์ยืนยันว่า ผู้ว่าฯ กทม. ต้องมีจุดยืนในการปกป้องประชาชน หากผู้ว่าไม่มีจุดยืนในการปกป้องประชาชนจะเกิดอะไรขึ้น  ผู้ว่าต้องมีจุดยืน ไม่ใช่ไหลไปเรื่อยๆไม่มีกระดูกสันหลัง  ถึงเวลาที่ต้องเลือกผู้ว่าที่ยืนข้างประชาชน

ขณะที่นายสกลธีก็ตอบกลับว่า  “กระดูกสันหลังผมมีอยู่แล้ว ผมชัดมาตั้งแต่ 49-50 แล้ว”

ด้านนายชัชชาติ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ผู้ว่าฯต้องมาทำงานอย่ามาขัดแย้งการเมือง  นาทีที่ออกจากเพื่อไทยก็ทำงานเพื่อทุกคน ทำงานเพื่อประชาชน

ขณะที่นายวิโรจน์ก็ย้ำว่า  ผู้ว่าฯ เป็นตำแหน่งทางการเมือง ประชาชนไม่ต้องการผู้ว่าที่ลอยตัวเหนือความขัดแย้ง วันที่ประชาชน เดือดร้อนก็มาจากการเมืองทั้งสิ้น

ทำให้นายชัชชาติ ตอบอีกว่า เราเป็นนักการเมิอง แต่อย่าเอาความขัดแย้งมาทำให้เมืองเดินไม่ได้






โดย panwilai_c

20 พ.ค. 2565

1.8K views