22 เม.ย. 2568
นักวิชาการ มธ.ชี้คานพระราม 2 ถล่ม ผู้เสียหายฟ้อง ‘หน่วยงานรัฐ-กทพ.’ ได้
นักวิชาการ มธ. ชี้คานพระราม 2 ถล่ม ผู้เสียหายฟ้อง ‘หน่วยงานรัฐ-การทางพิเศษ’ ได้ เหตุรัฐต้องรับผิดแม้ความเสียหายเกิดจากเอกชน
“นักวิชาการธรรมศาสตร์” แนะมุมมองทางกฎหมาย ชี้ผู้เสียหายจากเหตุการณ์คานพระราม 2 ถล่ม สามารถฟ้อง “หน่วยงานรัฐ-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย” ได้ พร้อมยกคำพิพากษาศาลปกครองในอดีต แม้จะเป็นความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเอกชน แต่หน่วยงานรัฐย่อมต้องผูกพันในผลของการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วย ส่วนความผิดของ “ผู้รับเหมา” ผู้เสียหายสามารถฟ้องได้ทั้งแพ่ง-อาญา
รศ.ดร.สุปรียา แก้วละเอียด รองอธิการบดีฝ่ายบริหารศูนย์ลำปางและการคลัง และอาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายมหาชนและศูนย์กฎหมายภาษีอากร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า กรณีโครงสร้างสะพานที่กำลังก่อสร้างบริเวณถนนพระราม 2 พังถล่ม เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย และอีกมากกว่า 2,500 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมานั้น ที่ผ่านมามักถูกโยนให้เป็นความผิดของบริษัทเอกชนเพียงฝ่ายเดียว แต่ในความจริงแล้วหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการก็ต้องรับผิดจากความบกพร่องในการควบคุมดูแลโครงการก่อสร้างและอาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้เช่นกัน
นอกจากผู้เสียหายจะสามารถฟ้องบริษัทรับเหมาก่อสร้างเป็นคดีอาญา เช่น ฐานประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือคดีแพ่งด้วยเหตุละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แล้ว ยังสามารถฟ้องหน่วยงานรัฐซึ่งเป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่ศาลปกครองได้อีกด้วย
“หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ตามกฎหมายในการควบคุมกำกับดูแลโครงการก่อสร้างที่เอกชนดำเนินการให้มีความปลอดภัย ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำโดยประมาทเลินเล่อ หรือละเว้นไม่กระทำการทั้งที่มีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลการก่อสร้าง จนส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของประชาชน หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อผู้เสียหายหรือทายาทของผู้เสียหายตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เช่น ค่าปลงศพ ค่าเสียหายทางทรัพย์สิน ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดู” รศ. ดร.สุปรียา กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นผู้เสียหายสามารถฟ้องหน่วยงานของรัฐต่อศาลปกครองเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ได้ โดยที่ผ่านมามีการฟ้องร้องรัฐให้ต้องรับผิดจากความบกพร่องของโครงการก่อสร้างที่ดำเนินการโดยเอกชนอยู่หลายคดี และหนึ่งในนั้น คือคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างถนนพระราม 2 ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 2565/2566
จากเหตุการณ์สะพานกลับรถบนถนนพระราม 2 บริเวณ กม.34 พังถล่มลงมาทับรถยนต์ที่สัญจร เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2565 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย ซึ่งต่อมาบิดาและมารดาของผู้เสียชีวิตฟ้องกรมทางหลวง อันเนื่องมาจากกรมทางหลวงได้ประกาศซ่อมพื้นสะพานกลับรถถนนพระราม 2 ซึ่งในระหว่างการซ่อมแซมดังกล่าว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภายใต้สังกัดกรมทางหลวง คือนายช่างโครงการ (Project Engineer) ไม่มีการจัดเหล็กเส้นยึดเหนี่ยวระหว่างการรอรื้อสะพาน ส่งผลให้คานปูนสะพานกลับรถนั้นถล่มและหล่นทับรถยนต์ของประชาชนผู้สัญจรในขณะนั้น
คดีดังกล่าว ศาลปกครองพิพากษาว่า อุบัติเหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุสุดวิสัย หากเจ้าเหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี (กรมทางหลวง) ได้จัดการระมัดระวังตามสมควรในการควบคุมดูแลในการปฏิบัติงานและดูแลความปลอดภัยในระหว่างการดำเนินการงานก่อสร้างและบูรณะสะพานอย่างเคร่งครัด อุบัติเหตุย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงได้ละเลยต่อหน้าที่ในการป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นตามมาตรา 4 และมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ. 2535 ประกอบข้อ 2 ข้อ 17 (1) และ (3) ของกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2558 จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมทางหลวง) จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
“จากคำพิพากษาเห็นได้ว่า เมื่อเกิดกรณีความเสียหายอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยของรัฐใดที่ต้องกระทำนั้น แม้จะเป็นความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเอกชนที่ได้รับว่าจ้างจากหน่วยงานของรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐนั้นก็ดี หรือเป็นความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของหน่วยงานของรัฐก็ดี หน่วยงานของรัฐดังกล่าวย่อมต้องผูกพันในผลของการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วย ดังนั้น สำหรับเหตุการณ์โครงสร้างสะพานบริเวณถนนพระราม 2 เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2568 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการย่อมมีหน้าที่กำกับดูแลให้บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย หากการทางพิเศษแห่งประเทศไทยละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิฟ้องการทางพิเศษแห่งประเทศไทยต่อศาลปกครองได้” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การฟ้องหน่วยงานของรัฐมักจะมีข้อกังวลตามมาว่า การที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเป็นภาระแก่ประชาชนเพราะเป็นการนำงบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากรายได้ที่เป็นภาษีอากรมาจ่าย แต่ต้องเข้าใจว่าการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายเป็นกลไกในการเยียวยาความเสียหายนี้เพื่อคุ้มครองประชาชนที่ถูกละเมิดโดยหน่วยงานของรัฐ โดยหน่วยงานของรัฐย่อมใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับเจ้าหน้าที่ที่ทำละเมิดได้ หากเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539
“การฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ เจ้าของโครงการเป็นมาตรการในการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับความเสียหายเท่านั้น และเป็นเพียงการสร้างความตระหนักให้กับรัฐบาลในการควบคุมดูแลโครงการก่อสร้างให้ดีขึ้นเท่านั้น ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและไม่ยั่งยืน สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือควรเน้นมาตรการเชิงป้องกัน หากพิจารณาแนวทางในการป้องกันปัญหาเรื่องนี้ จะพบว่าในหลายประเทศใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมดูแลการก่อสร้างของเอกชนที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้” รศ. ดร.สุปรียา กล่าว
รศ. ดร.สุปรียา กล่าวถึงข้อเสนอที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต โดยแบ่งออกเป็น 4 มาตรการ ได้แก่ 1. กำหนดมาตรฐานความปลอดภัย เช่น กำหนดทุกโครงการก่อสร้างภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการในพื้นที่สาธารณะจัดทำระบบบริหารความปลอดภัย (Safety Management System - SMS) กำหนดให้มี เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยประจำโครงการ (Project Safety Officer) ที่ต้องผ่านการอบรมและมีใบอนุญาตรับรองจากรัฐ
2. กำหนดมาตรการการตรวจสอบ เช่น มีเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบจากภายนอก (Independent Safety Auditor) ที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อประเมินความปลอดภัยอย่างเป็นกลาง มีการตรวจ Site ก่อสร้างแบบสุ่ม (Random Inspection) และมีอำนาจสั่งให้ระงับการดำเนินการได้หากเห็นว่าไม่ปลอดภัย
3. กำหนดมาตรการลงโทษที่ได้สัดส่วนและมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายต่อสาธารณะ เช่น ประเทศออสเตรเลียมีฐานความผิด Industrial Manslaughter เมื่อมีลูกจ้างหรือบุคคลอื่นเสียชีวิต เพราะนายจ้างหรือบริษัทประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 25 ปี และโทษปรับองค์กร (Corporate Penalty) สูงสุดถึง 16.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษมีฐานความผิด Corporate Manslaughter โดยมีโทษปรับที่ไม่จำกัดจำนวนเงิน อันเป็นความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคลที่ครอบคลุมไม่ว่าเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วน องค์กรของรัฐ เพื่อให้องค์กรใส่ใจในมาตรการความปลอดภัยอย่างจริงจัง
4. กำหนดมาตรการด้านความโปร่งใสของโครงการก่อสร้าง เช่น ประเทศออสเตรเลียกำหนดให้โครงการก่อสร้างต้องมีการเปิดเผยข้อมูลด้านความปลอดภัยสู่สาธารณะ (Public Safety Records) ประชาชนสามารถตรวจสอบชื่อผู้รับเหมา รายงานอุบัติเหตุ ผลการตรวจสอบความปลอดภัยจากหน่วยงานของรัฐได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นการสร้างแรงกดดันทางสังคม ทำให้หน่วยงานของรัฐต้องจริงจังต่อการคัดเลือกบริษัทก่อสร้าง และควบคุมดูแลโครงการก่อสร้างอย่างจริงจังอีกด้วย
“ถ้ารัฐบาลมัวแต่จดสมุดพกของบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยไม่แก้ไขปัญหาเรื่องมาตรการความปลอดภัยของถนนพระราม 2 อย่างจริงจัง เชื่อว่าสถิติของความสูญเสียและสถิติคดีที่ประชาชนฟ้องหน่วยงานของรัฐคงไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้” รศ. ดร.สุปรียา กล่าว
20 มี.ค. 2568
67 views
EP อื่นๆ
21 เม.ย. 2568
21 เม.ย. 2568
21 เม.ย. 2568
22 เมษายน วันคุ้มครองโลก “พลังของเรา พลังของโลก”
21 เม.ย. 2568
19 เม.ย. 2568
18 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
17 เม.ย. 2568
16 เม.ย. 2568
15 เม.ย. 2568
15 เม.ย. 2568
14 เม.ย. 2568
12 เม.ย. 2568
11 เม.ย. 2568
11 เม.ย. 2568
11 เม.ย. 2568