28 พ.ย. 2567
เปิดเหตุผลคำพิพากษายกฟ้อง ‘ฝรั่งเดวิด’ เตะ ‘หมอปาย’
เปิดเหตุผลศาลฯ ยกฟ้อง “ฝรั่งเดวิด” เตะ “หมอปาย” พยานหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีพยานยืนยัน บาดแผลไม่ได้ตรวจร่างกาย โรค PTSD ของฝั่งโจทก์ ไม่เข้าหลักเกณฑ์
จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ศาลแขวงภูเก็ตนัดฟังคำพิพากษาคดี พนักงานอัยการ คดีศาลเเขวง เเละ แพทย์หญิงธารดาว จันทร์ดำ หรือ หมอปาย เป็นโจทก์ เเละ โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายเดวิด ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ในคดีทำร้ายร่างกาย โดยเตะเข้าที่หลัง พร้อมตะโกนด่าถ้อยคำหยาบคาย เหตุเกิดขณะนั่งที่บันไดหน้าวิลล่า 23 ชายหาดยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เหตุเกิดเมื่อ วันที่ 24 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา
โดยมีการฟ้องร้อง 2 คดีสำนวน ซึ่งศาลสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยสำนวนแรก เป็นคดี พนักงานอัยการคดีศาลแขวง เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ว่า จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกาย นางสาวธารดาว จันทร์ดำ ผู้เสียหาย โดยการเตะบริเวณหลังหนึ่งครั้งเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฟกช้ำบริเวณหลังส่วนบน โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391
และ สำนวนที่สอง นางสาวธารดาวเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ว่า การกระทำของจำเลย ดังกล่าวเป็นเหตุให้ นางสาวธารดาว มีอาการทางจิตประสาทโศกเศร้าเสียใจ ซึ่งเป็นอาการทางจิตเวช โดยแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD (โรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ) ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ในการพิจารณาคดี ศาลให้เรียกพนักงานอัยการคดีศาลแขวง ว่า โจทก์ที่ 1 และ เรียกนางสาวธารดาว ว่า โจทก์ที่ 2 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
เมื่อพิจารณาคำเบิกความและคำให้การชั้นสอบสวนของโจทก์ที่ 2 ประกอบ กับคลิปวิดีโอ ตามวัตถุพยาน ปรากฏว่ามีความแตกต่างและไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ เนื่องจากตามคลิปวิดีโอปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 หันหน้ามาทางข้างขวาและเหลียวหลัง มองไปทิศทางที่จำเลยกำลังเดินตรงมาที่โจทก์ที่ 2 จึงเชื่อว่าหากจำเลยเตะโจทก์ที่ 2 จริง โจทก์ที่ 2 และนางสาวศุกาญจน์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยกันย่อมน่าจะเห็นเหตุการณ์ และยืนยันได้หนักแน่นว่าจำเลยเตะทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2 โดยมีลักษณะและรายละเอียดการเตะอย่างไรกันแน่ เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟในสวน จากดวงจันทร์เต็มดวงเพียงพอที่พยานโจทก์จะมองเห็นและจดจำเหตุการณ์ได้ แต่โจทก์ที่ 2 กลับไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงถึงการถูกทำร้ายร่างกายนั้นได้ อันเป็นข้อพิรุธให้น่าสงสัย
นอกจากนี้ตามคลิปวิดีโอวัตถุพยาน ก็ไม่ปรากฎภาพเหตุการณ์ที่แสดงถึงจำเลยใช้เท้าเตะโจทก์ที่ 2 จนมีลักษณะคะมำไปด้านหน้าดั่งที่โจทก์ที่ 2 ให้การต่อพนักงานสอบสวน แต่กลับปรากฏภาพโจทก์ที่ 2 สามารถลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากที่เกิดเหตุได้อย่างปกติ อันขัดแย้งกับคำให้การของโจทก์ที่ 2 ทั้งไม่สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรูปร่างของจำเลยที่เป็นคนสูงใหญ่กว่าโจทก์ที่ 2 มาก
ประกอบกับโจทก์ที่ 2 กับจำเลยไม่เคยรู้จักกัน หรือมีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน พฤติการณ์แห่งคดีไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 และจำเลยมีปากเสียงทะเลาะวิวาทกันก่อน และ ปกติบุคคลทั่วไป เมื่อถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน ย่อมต้องสอบถามมูลเหตุที่ทำร้ายตน แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวในชั้นพิจารณา
นอกจากนี้พยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวนยังเบิกความอีกว่า ตำแหน่งที่โจทก์ที่ 2 นั่งบนบันได้ขั้นที่สองนับจากด้านล่าง หากจำเลยยืนอยู่บันไดขั้นบนสุดจะไม่สามารถเตะถึงโจทก์ที่ 2 ได้ และหากจำเลยเดินลงมาอีกหนึ่งถึงสองขั้นบันไดย่อมประชิดตัวโจทก์ที่ 2 ซึ่งโจทก์ที่ 2 และ นางสาวศุภกาญจน์ ต้องเห็น เหตุการณ์เป็นอย่างดี
อีกทั้งพยานแวดล้อมกรณีของโจทก์ทั้งสอง ไม่มีพยานปากใดให้การยืนยันว่า จำเลยรับต่อพยานว่าได้เตะโจทก์ที่ 2 ทั้งหลังเกิดเหตุมีการไกล่เกลี่ยในที่เกิดเหตุจำเลยก็ปฏิเสธต่อตำรวจของสถานีตำรวจภูธรถลางว่า ไม่ได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 2
สำหรับรายละเอียดบาดแผล ของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสองมีพยานปากแพทย์ออกผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเบิกความ ว่า พยานไม่ได้ตรวจร่างกายโจทก์ที่ 2 เพียงแต่ดูลักษณะบาดแผลจากภาพถ่ายและข้อมูลที่พยาบาลบันทึกไว้เท่านั้น โดยโจทก์ที่ 1 ไม่ได้นำพยาบาลซึ่งเป็นผู้ถ่ายรูปบาดแผลของโจทก์ที่ 2 มาเบิกความยืนยัน และมิได้ส่งภาพถ่ายบาดแผลและประวัติการรักษาทางเวชระเบียน
ซึ่งโจทก์ที่ 2 เข้าทำการรักษาก่อนออกผลการตรวจทางนิติเวช โดยภาพถ่ายบาดแผลจำเลยเป็นฝ่ายอ้างเป็นพยาน ดังนั้น ผลการตรวจชันสูตรบาดแผลจึงยังมีข้อพิรุธให้สงสัย
เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองที่นำสืบมาจึงยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ส่วนที่โจทก์ที่ 2 อ้างว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 รับอันตรายแก่จิตใจโดยป่วยเป็นโรค PTSD เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ดังวินิจฉัยข้างต้น ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับอันตรายแก่จิตใจหรือไม่ จึงย่อมไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
นอกจากนี้ที่โจทย์ที่ 2 อ้างว่าป่วยเป็นโรค PTSD จำเลยนำสืบหักล้างและมีพยานปากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งศาลหมายเรียกมาให้ความเห็นเป็นหนังสือและมาเบิกความประกอบ มีความเห็นตรงกันว่า การวินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD บุคคลนั้นต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บรุนแรง หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเหตุการณ์ที่โจทก์ที่ 2 ได้รับมาตามที่กล่าวอ้างนั้น ไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว จึงพิพากษายกฟ้อง
โดย JitrarutP
4 ก.ย. 2567
70 views
EP อื่นๆ
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
หนุ่ยคุยออนไลน์ EP.571 หงส์แดงล้างอาถรรพ์ ดับราชันชุดขาว / รุด ใกล้เซ็นสัญญาคุมเลสเตอร์
thichaphat_d
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
'สพม.ขอนแก่น' สั่งสอบคลิป นักเรียนหญิง ม.2 ถูกรุมทำร้าย บังคับกราบเท้าในห้องเรียน
paweena_c
28 พ.ย. 2567
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งหนังสือ สั่ง ‘PTT - OR’ แจงกรณี DSI สอบปมซื้อขายไบโอดีเซลผิดปกติ
chutikan_o
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567
28 พ.ย. 2567