เศรษฐกิจ

ส.ผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีก เม.ย.ส่งสัญญาณดีขึ้น ชง 3 ข้อเสนอต่อภาครัฐ

โดย passamon_a

7 พ.ค. 2565

40 views

วันที่ 6 พ.ค.65 สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการ ค้าปลีกประจำเดือนเมษายน 2565 ในภาพรวมพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนเมษายน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 56.4 ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนมีนาคมที่ 46.5 จุด


สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องสองช่วงในเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมถึงการส่งเสริมการขายของร้านค้าต่าง ๆ และประกอบกับข่าวการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 10.3 จุด จากระดับ 48.9 จุด ในเดือนมีนาคม มาที่ 58.7 จุดในเดือนเมษายน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโอมิครอนซึ่งกำลังเป็นช่วงขาลง และรัฐบาลกำลังจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น


นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG-YoY) ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด และอยู่เหนือค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนับจากเดือนธันวาคม 2564 การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการเพิ่มขึ้นในลักษณะ K-Shape ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดจนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่บางส่วนยังไม่ฟื้นตัวและยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การฟื้นตัวไม่ครอบคลุมทุกประเภทร้านค้า


สำหรับร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ความงาม และภัตตาคาร-ร้านอาหาร ถือว่าเป็น K-Shape ขาขึ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีจากนโยบายการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และการยกเลิก Test & Go สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งการปลดล็อกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดของ ทุกจังหวัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางและดำรงชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม ร้านค้าปลีกประเภท ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ K-Shape ขาลง และมีสัดส่วนกว่า 65% ของภาคค้าปลีกทั้งประเทศ กลับเติบโตน้อย สะท้อนให้เห็นว่า กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากการจ้างงานยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายส่งเสริมและอุดหนุนของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าโครงการของภาครัฐฯ สามารถ พยุงเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในกลุ่มสินค้าหรือบริการผ่านโครงการประชารัฐ โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และช้อปดีมีคืน ก่อให้เกิดผลบวกต่อผู้ประกอบการภาคการค้าปลีก ภาคการท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระดับที่น่าพอใจ


ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ การประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนต่อภาคการค้า ที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-26 เมษายน 2565 ดังนี้


1. ประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนต่อธุรกิจ

- 70% มีผลต่อต้นทุนสูงขึ้น

- 17% มีผลต่อการวางแผนธุรกิจยากขึ้น

- 12% ยังไม่ได้รับผลกระทบ

- 1% ขาดวัตถุดิบในการผลิต


2. ประเมินแผนการการปรับราคาสินค้าในสามเดือนข้างหน้า

- 52% เพิ่มขึ้นไม่เกิน 10%

- 44% เพิ่มขึ้นระหว่าง 11- 20%

- 4% เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%


3. ประเมินผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนต่อราคาสต็อกสินค้าและสภาพคล่อง

- 87% จะปรับราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า

- 57% มีสต็อกเพียงพอแค่ 3 เดือน

- 47% มีสภาพคล่องเพียงพอมากกว่า 12 เดือน


3 ข้อเสนอต่อภาครัฐ


1. คงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐไว้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐควรพิจารณากระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนเพื่อให้เกิด การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ (Local Consumption) สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ผ่านหลากหลายโครงการของรัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการช้อปดีมีคืน และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน


2. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐ ภาครัฐควรมีการอนุมัติการลงทุนและดำเนินการโครงการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเร่งสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการจัดจ้างการดำเนินงาน และสนับสนุนให้ SMEs เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมากขึ้น


3. พยุงราคาพลังงานให้คงที่และได้นานที่สุด ภาครัฐควรพิจารณาใช้ทุกมาตรการในการช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนผ่าน การพยุงราคาพลังงาน เพื่อให้ค่าครองชีพไม่ปรับตัวแบบก้าวกระโดด อาทิ การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง

คุณอาจสนใจ