ก.คลัง-แบงก์ชาติ เห็นตรงกัน เศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤต แค่ขยายตัวต่ำกว่าคาด

กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติ เห็นตรงกันแล้วว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤต แค่ขยายตัวต่ำกว่าคาด

วันที่ 24 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวระหว่างการแถลงตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทย ปี 66 ที่โตเพียง 1.8% ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่เรียกว่ามีสัญญาณอ่อนตัวลง สะท้อนจากดัชนีบ่งชี้บางตัวที่ติดลบ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์หากเป็นเช่นนั้นจีดีพี. จะต้องติดลบต่อเนื่องกัน 2 ไตรมาส เช่น ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหรือโควิด


ซึ่งก็ตรงกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุชัดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ล่าช้ากว่าที่คาดนั้น ไม่ถือเป็นวิกฤต เพียงแต่มีการขยายตัวที่ต่ำกว่าคาด พร้อมระบุว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติในปัจจุบัน อยู่ในระดับที่เหมาะสม และย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้กำลังเผชิญกับภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อที่ลดลงติดต่อกัน 3 เดือน เกิดขึ้นชั่วคราว จากการอุดหนุนด้านพลังงานของรัฐบาล

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้ด้วยว่า ถ้าต้องการเพิ่มอัตราการเติบโตที่มีศักยภาพในระยะยาว สิ่งที่ต้องทำ คือ เรื่องของโครงสร้าง ต้องมีการเพิ่มผลผลิต แต่วิธีที่จะไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เพียงแค่การนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมาใช้เท่านั้น ซึ่งท่านน่าจะหมายถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เเจกเงิน 10,000 บาท พร้อมย้ำว่า สิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือการรักษาและธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระต่อความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง แต่ก็ยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยในปี 66 จะโตต่ำกว่า 2.4% เนื่องจากการท่องเที่ยวและการส่งออก ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด

ส่วนประเด็นที่กระทรวงการคลังคอนเฟิร์มตัวลข จีดีพี ปี 66 โตที่ 1.8% ตามเอกสารที่หลุดมาวานนี้ ธนาคารกสิกรไทย ออกมาสวนทันที คาดเศรษฐกิจไทยปี 66 จะขยายตัวได้ถึง 2.5% ก่อนเพิ่มเป็น 3.1% ในปี 67 แต่หากมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะโตได้ถึง 3.6% ซึ่งแตกต่างจาก โดยธนาคารกสิกรไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 15% โดยมีปัจจัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก, เศรษฐกิจจีนอ่อนแอ ส่งผลเสียต่อดุลการค้าไทย การพึ่งพาภาคบริการมากขึ้น จำกัดการเติบโตในระยะยาว, การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกระทบต่อค่าเงินบาท โดยมีแนวโน้มอยู่ที่ 34 บาท/ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้

https://youtu.be/hd-JQ_GHdg0