เศรษฐกิจ

PTT เปิดผลกำไรครึ่งแรกปี 67 ทะลุ 6.4 ล้าน นำส่งรัฐรวม 3.5 หมื่นล้านบาท

20 ส.ค. 2567

263 views

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ยอมรับว่าธุรกิจปลายน้ำตอนนี้เป็นขาลง โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมี เพราะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น แต่ในด้านโรงกลั่นน้ำมัน ค่าการกลั่นยังดี


ดังนั้น ปตท.จะปรับโดยการดึงพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมลงทุนในกลุ่มธุรกิจของ ปตท. จะช่วยให้บริษัทลูกแข็งแกร่งขึ้น การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งเข้ามาร่วมนั้น จะทำให้กลุ่ม ปตท.ตัวเบาลง แต่กลุ่ม ปตท.ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่เป็นการเปิดให้พันธมิตรที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุน


แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยธุรกิจ E&P ปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้น ธุรกิจก๊าซฯ คาดมาร์จิ้นทรงตัว เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรก ส่วนโรงกลั่นฯ ค่าการกลั่นดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลัง ยังรับผลกระทบจากกำลังผลิตใหม่ที่เข้ามา ทำให้คาดว่าภาพรวมครึ่งปีหลัง มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น เทียบกับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 64,437 ล้านบาท


นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2567 ที่ 0.80 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับภาษีเงินได้ ปตท. และบริษัทในเครือ นำเงินส่งรัฐรวม 35,684 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตด้านราคาพลังงาน ตั้งแต่ปี 2563 ในวงเงินกว่า 24,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน


ทั้งนี้ ขณะนี้บอร์ด ปตท. อนุมัติแผนยุทธศาสตร์กลุ่ม ปตท. (PTT Group Strategic Thinking Session :STS) แล้ว และอยู่ระหว่างการทำแผนลงทุน 1 ปี (ปี 2568) และแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2568-2572) ฉบับใหม่ ซึ่งจะมีความชัดเจนทั้งแผนลงทุนธุรกิจและเงินลงทุนทั้งหมด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้


พร้อมเผยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” โดยเร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็นธุรกิจหลักของ ปตท. ซึ่งต้องทำควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก และต้องปรับตัวพร้อมรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว


โดยธุรกิจ Upstream and Power หรือธุรกิจต้นน้ำ จะต้องเร่งขยายแหล่งสำรวจและผลิต ร่วมกับพันธมิตร มีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา (OCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ส่วนธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้านั้นมีอาณัติสัญญาในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับกลุ่ม ปตท. ขณะที่ธุรกิจปลายน้ำนั้น จะต้องปรับตัว และสร้างความแข็งแรงร่วมกับพันธมิตร แสวงหาโอกาสในการสร้างการทำงานร่วมกันเพิ่มเติม


สำหรับธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกนั้นจะต้องมุ่งหน้าเป็น Mobility Partner ของคนไทย รักษาการเป็นผู้นำตลาด ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยจะประเมินธุรกิจนี้ใน 2 มุมคือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ และ 2) ปตท. มี Right to Play หรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมีพันธมิตรที่แข็งแรง


ส่วนแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้ 1. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะต้องมีการควบรวมแบรนด์ต่างๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. และใช้ OR Ecosystem ที่มี Touch Point อยู่ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์ 2. ธุรกิจ Logistics ปตท. จะเน้นไปเฉพาะธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ ธุรกิจหลักของ ปตท. และมีกลุ่มใช้ไฟเองนอกระบบอยู่แล้ว ซึ่งมีพันธมิตรที่แข็งแรง และ 3. ธุรกิจ Life Science ปตท. จะต้องสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน


สำหรับบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100%) ปตท. เตรียมหาพันธมิตรเข้ารวมลงทุน พร้อมทั้งมีโอกาสที่จะเสนอขาย IPO เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคต


อย่างไรก็ตาม ปตท. มีแผนการสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับบริบทองค์กร ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ผ่านการผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจน และการดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Storage : CCS) โดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. โดยต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน และมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัท ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมี ปตท. ดูภาพรวม

แท็กที่เกี่ยวข้อง  

คุณอาจสนใจ