เศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์แนะนักลงทุนขายทองทำกำไร หลังราคาพุ่งต่อเนื่อง

โดย gamonthip_s

29 มี.ค. 2567

250 views

YLG ประเมินทองคำยังรักษาทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดราคาพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลอีกครั้งที่ระดับ 2,234 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เหตุโมเมนตัมยังแข็งแกร่ง ปัจจัยพื้นฐานยังหนุน รวมไปถึงนักลงทุนมีความกังวลประเด็นความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มากขึ้น พร้อมแนะนำนักลงทุน หากมีกำไรควรขายออกไปก่อน เหตุทุกครั้งที่ทองคำปรับขึ้นรอบใหญ่จะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา ส่งผลระยะสั้นอาจย่อตัวสลับลงบ้าง แต่ภาพระยะยาว 2-3 ปี เทรนด์ยังแข็งแกร่ง ตามแนวโน้มเฟดวงจรดอกเบี้ยขาลง ซึ่งหลังจากนั้นจะอยู่ในระดับต่ำไปอย่างน้อย 2-3 ปี พร้อมแนะแนวรับที่ 2,144-2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวต้านที่ 2,266-2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองไทยมองกรอบแนวรับที่ 36,600-35,500 ต่อบาททองคำ แนวต้านที่ 38,750-39,300 บาทต่อบาททองคำ เผยปีนี้การเทรดผ่านฟิวเจอร์สมาแรง วายแอลจีเพิ่มช่องทางลงทุนผ่าน Tradingview เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก รู้ทันทุกจังหวะการลงทุน




นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่าราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งที่ระดับ 2,234 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ณ วันที่ 28 มี.ค. 2567 ส่งผลให้นับจากต้นปี หรือในไตรมาสที่ 1/2567 ราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 8% ซึ่งการปรับขึ้นมาในรอบนี้ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มเกิดความไม่มั่นใจว่าราคาทองคำขึ้นมาสูงจนจะเป็นภาวะฟองสบู่หรือไม่ ในกรณีนี้หากวิเคราะห์ตามปัจจัยพื้นฐานจะเห็นว่า การปรับตัวขึ้นมาของทองคำในตลาดโลกในภาพใหญ่ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยพื้นฐานนับจากการระบาดของโควิด-19 และต่อเนื่องมาจากปัจจัยหนุนด้านภูมิรัฐศาสตร์หลายพื้นที่ อาทิ ในตะวันออกกลาง จากอิสราเอล-ฮามาส และทะเลแดง รวมไปถึง รัสเซีย-ยูเครน



นอกจากนี้ทางการจีนที่ได้ตั้งเป้าเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม 7.2% สู่ระดับ 1.67 ล้านล้านหยวนในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นด้วยอัตราสูงสุดในรอบ 5 ปี สถานการณ์เช่นนี้ ส่งเสริมให้นักลงทุนเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น เมื่อทองคำย่อตัวลง จึงเป็นแรงซื้อทองคำที่เข้ามาคอยช่วยให้ราคายกระดับต่ำสุดขึ้น และแน่นอนว่าจะได้ปัจจัยหนุนหลักมาจากการเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงของเฟดอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้



อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนี้ทองคำยังมีความเสี่ยง เนื่องด้วยราคาที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างไกลแล้ว จึงอาจเกิดแรงขายสลับเข้ามาได้ โดยในส่วนของแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายจากเฟดนั้น หากพิจารณาข้อมูลในรายงานประมาณภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ในเดือนมี.ค.อย่างถี่ถ้วน พบว่าสำหรับปี 2567 มีการปรับขึ้นของคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐ แต่ทำการปรับลดอัตราการว่างงานลง นอกจากนั้นแม้ว่าคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) จะอยู่ที่การลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งเท่าเดิมในปีนี้ แต่มีการปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2568 และ 2569 ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มระดับอัตราดอกเบี้ยที่อาจคงไว้ที่ระดับสูง ทำให้นักลงทุนยังคงไม่วางใจต่อแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้ที่ชี้ว่า เฟดยังไม่อาจสามารถระบุถึงช่วงเวลาในการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้



ดังนั้นแล้ว ในระยะสั้นทองคำอาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง จากทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐรวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับแรงขายทำกำไรเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดีในระยะถัดไปแม้ราคาทองคำอาจมีช่วงปรับฐานลงมาบ้าง แต่จะมีแรงซื้อเข้ามาพยุงในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และหากกลางปีนี้เฟดทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำไปอีก 2-3 ปี วายแอลจีจึงมั่นใจว่าภาพใหญ่ของทิศทางทองคำในปีอีก 2-3 ปี จะยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น



อย่างไรก็ดีวายแอลจีแนะนำว่า หากนักลงทุนที่มีทองคำอยู่ในมือและมีกำไรในช่วงนี้ ควรแบ่งขายทำกำไร เนื่องจากปกติหากทองคำปรับขึ้นรอบใหญ่จะต้องมีการขายทำกำไรออกมาทุกครั้ง ดังนั้นในระยะสั้นราคาทองคำอาจจะปรับตัวลดลงมาก่อน แต่ระยะยาวยังคงรักษาทิศทางขาขึ้นไว้ได้ โดยให้แนวรับที่ 2,144-2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แนวต้านที่ 2,266-2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศมองแนวรับที่ 36,600-35,500 บาทต่อบาททองคำ แนวต้านที่ 38,750-39,300 บาทต่อบาททองคำ

คุณอาจสนใจ

Related News