เศรษฐกิจ
‘จุลพันธ์’ เผย 'คนรวย' อาจไม่ได้รับเงินดิจิทัล 1 หมื่น ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ ย้ำรัฐบาลรับฟังทุกฝ่าย
11 ต.ค. 2566
192 views
วานนี้ (10 ต.ค. 66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ
ถามว่า มีความจำเป็นหรือไม่ ในการเพิ่มเกณฑ์ของบุคคลที่จะได้รับเงินดิจิทัล ซึ่งทำให้อาจจะไม่ได้รับทุกคน
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรารับฟังเสียงสะท้อนจากภาควิชาการ และภาคประชาชน แต่ก็ต้องเรียนว่าทางภาควิชาการ มีทั้งความคิดเห็นที่สนับสนุนและคัดค้าน แต่เสียงส่วนใหญ่ของภาคประชาชนโดยเฉพาะในเขตต่างจังหวัด มีความต้องการให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และต้องการเม็ดเงินที่จะลงทุนในการประกอบอาชีพ
ยืนยัน ทางรัฐบาลได้รับฟังเสียงสะท้อนทั้งหมด และจะนำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการ ให้พิจารณาการปรับโครงสร้าง โดยอาจจะมีการยกเว้นคนที่ฐานะร่ำรวย ซึ่งตรงนี้ก็กำลังหาคำตอบอยู่ว่า จำนวนเงินที่จะได้รับผลกระทบ รวมถึงจำนวนคนที่ไม่ได้รับเป็นอย่างไร เพราะว่าต้องหาตัวเลขหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยเกณฑ์การวัดความรวย อาจจะดูเรื่องที่ดิน ยอดเงินในบัญชี หรือจะดูเรื่องของรายรับต่อเดือน แต่ทั้งนี้ต้องเป็นตัวเลขที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่นั่งเทียนขึ้นมา
สุดท้าย นายจุลพันธ์ ยังยืนยันว่า เราต้องยึดมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้ประชาชนเป็นกลไก พร้อมชี้แจ้งว่า วัตถุประสงค์หลักของการแจกเงินนี้ คือการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่การช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น การลดจำนวนคนที่จะได้รับจะต้องไม่มีผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในตอนนี้เรากำลังรับฟังและพิจารณาอยู่ ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยอาจจะมีความเป็นไปได้ ในการยกเว้นกลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวย
นายจุลพันธ์ ชี้แจ้งว่า ในช่วงแรกของการรณรงค์ ก็ต้องแจกเงินให้ทุกคน แต่เมื่อมีเสียงสะท้อนมา ในฐานะรัฐบาลจำเป็นต้องรับฟังและพิจารณา สุดท้ายการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดใหญ่ที่จะลงมติ โดยอาจจะมีตัวเลือกให้กับคณะกรรมการในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ยังเปิดรับฟังความเห็นและสามารถปรับแก้อยู่
ส่วนประเด็นการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ครั้งเดียว ไม่แบ่งรอบ
นายจุลพันธ์ ระบุว่า ก็รับฟัง แต่ว่าในทางหลักการกระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าเกิดแบ่งจ่ายเป็นรอบ ๆ จะไม่ต่างกับนโยบายที่ผ่านมาของรัฐบาล เช่น นโยบายบัตรคนจน เป็นต้น การทำเช่นนั้น จะไม่มีการกระชากเม็ดเงินในระบบ และการผลิต เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องช็อตแรงเพื่อให้เศรษฐกิจเกิดการกระตุกตัว เพื่อที่จะให้คนกล้าในการลงทุน กล้าที่จะประกอบอาชีพ และกล้าที่จะสร้างการผลิตขึ้นมาในสังคม เพื่อที่จะให้การบริโภคที่เกิดขึ้นรองรับการผลิตเหล่านั้น แล้วมันจะหมุนตัวต่อขึ้นไปเป็นขั้นบันได
------------
วานนี้ (10 ต.ค.)นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กล่าวว่า
จะมีการเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ในโครงการฯ เพราะต้องมีการยืนยันตัวตน หรือ ที่เรียกว่า KYC ซึ่งโชคดีที่โครงการในอดีตของรัฐ มีการทำระบบยืนยันตัวตนนี้เอาไว้ จึงมีฐานข้อมูลประชาชนอยู่แล้วประมาณ 40 ล้านคน ผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน
แต่หากจะเข้าร่วมนโยบาย เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะต้องมีปุ่มให้กดยืนยันว่าจะเข้าร่วมโครงการฯ หากใครที่ยังไม่ได้ยืนยันตัวตน ซึ่งมีประมาณ 10 ล้านคน จะต้องยืนยันตัวตนก่อน เพราะมีกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย และกฎหมายอื่นๆ กำหนดไว้
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า การยืนยันตัวตน เพื่อตรวจสอบบุคคลที่ได้รับสิทธิ์กับเลขบัตรประชาชนว่าเป็นบุคคลนั้นจริงๆ รวมทั้งจะต้องมีการสแกนใบหน้า เพราะเป็นเรื่องของการรับเงิน จะต้องมีความรัดกุม และเป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนการลงทะเบียนจะทำให้จำนวนคนที่เข้าร่วมโครงการลดลงหรือไม่
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่าไม่เกี่ยว เพราะการยืนยันตัวตนลงทะเบียนเป็นกระบวนการปกติ เพราะในอดีตโครงการของรัฐหลายโครงการ เปิดมาเพื่อให้ประชาชนลงทะเบียนทั่วประเทศ ก็ไม่ได้มีคนมาใช้สิทธิ์ครบทั้ง 70 ล้านคน ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เชื่อว่าหากดำเนินโครงการไปแล้ว ตัวเลขอาจจะลดลงบางส่วน ส่วนจะลดลงมากแค่ไหนต้องไปดูความชัดเจนอีกครั้ง
นายจุลพันธ์ เผยด้วยว่า สำหรับร้านค้า ก็จะต้องมีการลงทะเบียนด้วยเช่นกัน คาดว่าจะเริ่มเปิดให้ร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนได้ ในช่วงกลางเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้ เพราะต้องมีความชัดเจนพอสมควร ส่วนแอปพลิเคชั่นที่จะนำมาใช้ในนโยบายนี้ จะเป็นแอปพลิเคชั่นใหม่ ยังไม่มีชื่อ
สำหรับมีกระแสข่าวว่าจะมีการขายหุ้นของรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำเงินมาทำนโยบายนี้
รมช.คลัง ยืนยันว่าไม่มีความคิด ไม่ได้เกี่ยวกับโครงการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่
ส่วนที่มาของแหล่งเงิน ยังไม่มีความชัดเจน เพราะเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมาที่แถลงก็บอกแล้วว่า รัฐบาลวางเป้า จะใช้งบประมาณเป็นหลัก ส่วนอื่นๆ ดูกัน ซึ่งตอนนี้มีตัวเลือกให้รัฐบาล โดยยืนยันว่าจะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด และมีความเหมาะสมที่สุด
ขณะนี้ งบประมาณปี 2567 อยู่ระหว่างให้หน่วยงานที่ของบประมาณส่งคำขอเข้ามา ต้องดูรายละเอียดโครงการไหนที่ไม่มีความจำเป็น หรือดำเนินการไม่ทัน หรือโครงการไหนที่เป็นไขมันสามารถลดได้ จะต้องมีการปรับลด ส่วนเงินที่เหลือมาก็ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาและลงทุนในโครงการที่มีความจำเป็น และเกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐ / แต่ไม่ขอตอบว่าโครงการไหนเป็นไขมัน / และจะเกลี่ยงบได้เท่าไหร่ ยังไม่ขอตอบ เพราะไม่ได้สั่งการ แต่ให้ไปดูรายละเอียด เมื่อได้ตัวเลขมาแล้วจะรู้ว่าจะจัดสรรอย่างไร
เรารับฟังมาเยอะเรื่องขอบเขต เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ใช้คำว่า โน้มเอียงจะขยายขอไปพิจารณาก่อน เพราะลักษณะพื้นที่เป็น ตำบล / อำเภอ / จังหวัดแค่นั้น แต่จะจบที่ไหนอยู่ที่คณะกรรมการ
------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/V_Hha5Dp-Zo