เศรษฐกิจ

'เจ้าสัวสหพัฒน์' ห่วงขึ้นค่าแรง 450 นักลงทุนแห่ย้ายฐานหนี 'เศรษฐา' แย้ง ถ้าต่างชาติจะย้าย คงมีองค์ประกอบอื่นด้วย

โดย nattachat_c

1 มิ.ย. 2566

3.4K views

วานนี้ (31 พ.ค. 66) นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจ ว่า


ปัจจุบันทั่วโลกยังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและส่งออกลดลง ขณะที่ประเทศไทยภาคการท่องเที่ยวดีขึ้น จากการมีต่างชาติกลับมาเที่ยวเพิ่มขึ้น แสดงว่าไทยยังมีอะไรหลายอย่างเป็นที่สนใจของต่างชาติ เช่น เฮลท์แคร์ เป็นต้น


สำหรับแผนธุรกิจของสหกรุ๊ปในปี 2566 แม้จะยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อย่างเป็นทางการ แต่จะยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง และมากที่สุดในประวัติการณ์ โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหญ่ที่ไม่เคยทำมาก่อนหลายโครงการ เพื่อให้รายได้เป็นตามเป้าที่ตั้งไว้มากกว่า 3 แสนล้านบาท


“เราคิดต่างจากคนอื่น ในช่วงนี้ที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ ควรลงทุนให้เยอะจะดีที่สุด เพราะถ้าเก็บเงินสดไว้จะไม่มีความหมาย ถามว่าการค้าขายทุกปีมันยากขึ้นไหม ไม่มีง่ายเลย แต่อยู่ที่เราปรับตัว ถ้าปรับตัวทันเหตุการณ์ อาจจะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ถ้าเราปรับตัวช้าอาจจะสุ่มเสี่ยง” นายบุณยสิทธิ์กล่าว


นายบุณยสิทธิ์ กล่าวถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรง 450 บาทว่า ธุรกิจของสหกรุ๊ปเป็นพ่อค้า ค่อนข้างปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ อย่างค่าแรงสูงขึ้น ต้องปรับปรุงการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และต้องพยายามไม่ให้ของทุกอย่างขึ้นตามค่าแรง ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาเราก็ให้ความร่วมมือและปรับตัว นี่คือจุดเด่นของเรา


“การปรับตัวของเรานั้น จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา เราเห็นว่าคนรุ่นใหม่มาแรง สหกรุ๊ปเองได้ปรับคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงานหมดแล้ว รุ่นเก่าจะไม่มีอยู่ในธุรกิจ ซึ่งเราค่อยๆ ปรับ ทำมาเป็น 10 ปีแล้ว ตอนนี้สำคัญสุดคือเรื่องสิ่งแวดล้อม และการทำให้สินค้าราคาถูกลง เพราะเงินเฟ้อเกิดขึ้นทั่วโลก” นายบุญยสิทธิ์กล่าว


เมื่อถามว่ามีการบ้านที่จะเสนอต่อรัฐบาลใหม่ต้องทำทันทีไหม นายบุณยสิทธิ์กล่าววว่า อันดับแรกต้องพัฒนาเศรษฐกิจก่อน ซึ่งไม่ใช่แค่การขึ้นค่าแรง ต้องเพิ่มประสิทธิภาพคน มีการศึกษา ให้คนมีงานทำ ไม่ว่างงาน เช่น พัฒนาด้านเกษตร ให้ราคาสูงขึ้น คนที่ทำเกษตรจะได้ไม่ไหลเข้ามาในภาคอุตสาหกรรม จะทำให้ไม่มีคนว่างงาน ตรงกันข้ามถ้าเกษตรลดลง คนต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพ จะเจอปัญหาเรื่องค่าแรงต่ำสุด


“เรื่องการขึ้นค่าแรงจะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและบริการ ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องลองศึกษาให้ดี เพราะมันมีทั้งดีและไม่ดี ต้องมีการพิจารณาในหลายๆ ด้าน ซึ่งเราเองมีพันธมิตรลงทุนจากญี่ปุ่น ถ้าเกิดค่าแรงสูง บางทีก็อาจจะทำให้มีการย้ายการลงทุนไปเวียดนามได้ อย่างภาคการผลิตเสื้อผ้า ยังไม่ขึ้นค่าแรง ยังย้ายฐานไปเวียดนามมาแล้ว ด้านภาวะค่าเงินบาท ตอนนี้ถือว่าดี แต่อนาคตไม่รู้ ถ้ารัฐบาลใหม่ทำถูกทาง เงินจะเสถียรภาพได้” นายบุณยสิทธิ์กล่าว


เมื่อถามว่าสหกรุ๊ปผ่านมาหลายนายกรัฐมนตรี ถ้าประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีเป็นคนรุ่นใหม่ที่อาจจะอายุน้อยที่สุด มีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีข้อเสนอแนะ แต่คนรุ่นใหม่มีจุดเด่น คือ ทำงานเร็ว ตัดสินใจเร็ว และต่างประเทศมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนรุ่นใหม่เก่งๆ อยู่หลายประเทศ ขณะที่ผู้หญิงก็ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกและอายุไม่เกี่ยว


“ส่วนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีตอนนี้ยังไม่เห็นหน้าตา ไม่สามารถออกความคิดเห็นได้ รวมถึงไม่มีความกังวลต่อนโยบายเก็บภาษีต่างๆ ของรัฐบาลชุดใหม่ เช่น ภาษีความมั่งคั่งหรือการนโยบายการทลายทุนผูกขาด” นายบุณยสิทธิ์กล่าว


เมื่อถามว่าจากสถานการณ์โควิดที่ระบาด 3 ปี กับการเมืองแบบเดิมๆ มีความกลัวอะไรมากกว่ากัน นายบุณยสิทธิ์ ตอบสั้นๆว่า กลัวโควิดมากกว่า เพราะตอนมีโควิดใหม่ๆ ไม่มียารักษาพอเกิดขึ้นมา ไม่รู้อยู่หรือตาย ตรงนี้น่ากลัว แต่ถ้ามียารักษาอยู่ก็ไม่กังวล


“ปัจจัยเสี่ยงอันดับแรกของการทำธุรกิจปีนี้ คือความมั่นคงของประเทศ ส่วนสถานการณ์การเมืองของไทย เข้าใจว่าเมืองไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ผมห่วงคนผู้นำประเทศบริหารไม่เป็นและทำให้เป็นเหมือนประเทศยูเครน” นายบุณยสิทธ์กล่าว


สำหรับทิศทางราคาสินค้าในครึ่งปีหลังนั้น นายบุณยสิทธิ์กล่าวว่า ต้องดูเงินเฟ้อต่างประเทศ ราคาเกษตรในต่างประเทศจะขึ้นหรือไม่ ถ้าขึ้นก็จำเป็นต้องขึ้น เพราะใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากไทยสามารถผลิตเองได้จะคิดราคาต้นทุนเก่าได้


ทั้งนี้เมื่อให้เปรียบเทียบเศรษฐกิจปี 2566 นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า “เหมือนขับรถหรูมัสแตงค์”

-------------
นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย แชร์ข่าวดังกล่าวของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง พร้อมทวีตข้อความระบว่า


“คงไม่ใช่เหตุผลนี้หรอกครับที่เค้าจะย้ายฐาน ถ้าเค้าจะย้ายฐานก็คงมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย เช่น ไม่มีความคืบหน้าทางด้านการเจรจาสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ หรือไม่มีผู้นำที่เดินทางออกไปเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาลงทุนแล้วบอกเล่าว่าประเทศไทยดีอย่างไร ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง 
-------------
วานนี้ (31 พ.ค. 66) ที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เวลา 13.00 น. พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ได้เดินทางมาหารือกับหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำโดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พร้อมคณะกรรมการ หอค้าต่างประเทศในไทย และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่


สำหรับประเด็นที่มีการหารือในครั้งนี้ มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เช่น

  • การปรับโครงสร้างต้นทุนค่าพลังงานค่าไฟฟ้า
  • แนวทางการช่วยเหลือเอสเอ็มอี
  • การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน
  • การส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยว
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์
  • การขับเคลื่อนอีอีซี
  • การค้าชายแดนและค้าผ่านแดน
  • ส่งเสริมภาคธุรกิจเกษตร อาหาร บีซีจีและอีเอสจี
  • สนับสนุน Start Up ไทยด้านนวัตกรรม สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่


รวมทั้งมีการหารือในส่วนของนโยบายปรับขึ้นค่าแรง ขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน พร้อมกับความท้าทายของเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆ ที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข


จากนั้นนายพิธา นำทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกลขึ้นชั้น 2 เพื่อหารือ ทันทีที่มาถึง นายสนั่นได้กล่าวต้อนรับ และแสดงความยินดี พร้อมบอกว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ได้สะท้อนโอกาสให้คนรุ่นใหม่ มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ซึ่งสภาหอการค้าฯ ได้ติดตามการลงนาม MOU 23 ข้อ ของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลอย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตามการตั้งคณะทำงานย่อย 7 คณะ ภายใต้คณะทำงานด้านเปลี่ยนผ่าน ซึ่งถือเป็นการทำงานเตรียมการจัดตั้งรัฐบาลที่รวดเร็ว


และสภาหอการค้าฯ มีความหวังที่จะเห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นความหวังให้ประเทศ และประชาชน และหลังจากนี้ สภาหอการค้าฯ พร้อมทำงาน และประสานงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ เพื่อประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงยังขอให้รัฐบาลชุดใหม่ ให้ความสำคัญกับหอการค้าจังหวัด และเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศด้วย เนื่องจาก เศรษฐกิจของประเทศขณะนี้ ยังประสบปัญหาอยู่


นายสนั่น มองเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท ว่าความเห็นของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้แตกต่างกันมาก  ทางหอการค้าเองเห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง แต่ต้องมาจับเข่าคุยกันในเรื่องของจังหวะเวลา และอัตราการปรับขึ้น ในเรื่องนี้หากเราสื่อสารกับสาธารณะไม่เข้าใจ ก็จะเกิดการโต้แย้ง สำคัญสุดคือต้องลงรายละเอียดในเชิงลึก เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหว


เชื่อว่าทางพรรคก้าวไกลได้ฟังเสียงจากประชาชน เป็นเรื่องดีที่มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อจะได้หารือ ให้เกิดทางออกที่เหมาะสม อีกประเด็นคือเราต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเร็วที่สุด โดยคาดว่าประมาณภายในเดือน ก.ย. จะแล้วเสร็จ


เมื่อสอบถามแนวนโยบายปรับขึ้นค่าแรง 450 บาทภายใน 100 วันแรกหลังได้เป็นรัฐบาล นายพิธา เผยว่า ได้ชี้แจงให้สภาหอการค้าไทย ได้มองภาพครบทุกมิติ ทั้งเรื่องของอัตราค่าเงินเฟ้อ และผลิตภาพของแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าแรง 450 บาทมีความเหมาะสม ไม่ได้ประสงค์จะขึ้นค่าแรงอย่างเดียว แต่คิดว่าจะทำให้แรงงานสามารถพัฒนาทักษะและดำรงชีวิตต่อไปได้ด้วย ยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะมีการปรับเปลี่ยนในอัตราการขึ้นค่าแรง หรือระยะเวลา 100 วันหรือไม่ เน้นย้ำว่า ต้องพูดคุยให้ครบทั้งไตรภาคี


นายพิธา ยังมองว่าค่าแรงที่จะเพิ่มขึ้นนั้น ไม่ได้เชื่อมโยงกับราคาสินค้าที่จะแพงขึ้นเสมอไป มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ โดยจะพยายามทำให้อยู่ในกรอบเวลา 100 วันแรก


ส่วนความเร็วสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล นายพิธา ระบุว่า ขึ้นอยู่กับการทำงานของ กกต. ว่าจะรับรอง ส.ส.ได้เมื่อใด แล้วเมื่อนับหนึ่งได้แล้ว ก็จะมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ในการเปิดประชุมสภาฯ และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี


ขณะเดียวกันนายสนั่น ยังเผยว่า ไม่มีความกังวลเป็นพิเศษ เสียงประชาชนสะท้อนชัดอยู่แล้วผ่านการเลือกตั้ง พรรคการเมืองล้วนสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลซึ่งมีคะแนนเสียงมากที่สุดจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมองว่าต้องเป็นไปตามกลไก แต่ภาคเอกชนต้องการรับฟังความเห็นจากว่าที่รัฐบาล ซึ่งจากการหารือกันพบว่ามีแนวทางเดียวกับหอการค้าไทยคือ การเชื่อมต่อจุด (Connect The Dots) เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความพอใจ


หากรัฐบาลมีเสถียรภาพก็จะสร้างความสบายใจให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ  และหากจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแค่แกนนำจัดตั้งโดยนายพิธา และพรรคก้าวไกล แต่ทุกพรรคหากไม่สามารถจัดตั้งได้ แน่นอนว่า ย่อมเกิดความเสียหาย และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของทั้งไทยและต่างประเทศแน่นอน เราทุกคนต้องตั้งความหวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ


เมื่อถามว่า จากประสบการณ์ของหอการค้าไทย ที่เห็นรัฐบาลมาหลายชุด และจากการพูดคุยกับนายพิธา และพรรคก้าวไกล มองศักยภาพของพรรคก้าวไกล เรื่องการช่วยเศรษฐกิจของประเทศไทยตามที่ได้หาเสียงไว้หรือไม่ นายสนั่น กล่าวว่า แนวทางด้านเศรษฐกิจและการแก้ปัญหา สอดคล้องกับนโยบายของหอการค้าที่มีอยู่ ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาต่างๆ มองว่าตรงกันหมด และมาถูกทาง

--------------


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/f3CD5v3Edns


คุณอาจสนใจ

Related News