ธปท.แจงขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่กำหนดเงินทุนเข้าออก

เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 65 นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพด้านการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่นักเศรษฐศาสตร์วิพากษ์วิจารณ์ คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง. ว่าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 0.25 % เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่าน้อยเกินไปและไม่สามารถสกัดการอ่อนค่าของค่าเงินบาทได้ เนื่องจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐฯ ยังสูง จนเกิดเงินทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่องว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไม่ได้เป็นตัวกำหนดการไหลออกของเงินทุนต่างชาติเพียงอย่างเดียว เพราะแต่ละประเทศมีปัจจัยเฉพาะที่แตกต่างกัน แม้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่า แต่ก็ยังมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิ 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็มีบางประเทศที่ขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าไทย แต่ค่าเงินก็ยังอ่อนค่า แม้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย จะไม่แตกต่างกับสหรัฐฯ มากนัก เช่น เกาหลีใต้ ที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5 % ส่วนต่างดอกเบี้ยกับสหรัฐฯ ที่ 3-3.5 % แต่เงินวอนก็ยังอ่อนค่า หรือ ค่าเงินเยน ของประเทศญี่ปุ่นที่อ่อนค่า 20.2 % รวมถึง เงินปอนด์ที่อ่อนค่า 19.8 %

ดังนั้น ตัวกำหนดเงินทุนไหลเข้าออก ต้องดูความเป็นจริงและข้อมูลอื่น ๆ ประกอบด้วย ซึ่งการที่ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 % ต่อเนื่อง 2 ครั้ง เพราะเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีความร้อนแรงและเงินเฟ้อสูง จึงต้องขึ้นดอกเบี้ยแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

สำหรับประเทศไทย คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อระยะต่อไปจะปรับลดลง หลังได้ขึ้นสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 และจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในกลางปี 2566 ที่สำคัญการขึ้นดอกเบี้ยเยอะและเร็ว จะกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง และอาจมีผู้ที่เดือนร้อน เพราะกลุ่มคนเปราะบางยังมีภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่ถึง 88 % ของจีดีพี ซึ่งสูงมากกว่าเกณฑ์สากลที่ 80 % ต่อจีดีพี