เศรษฐกิจ
ดีกว่าไม่มี! หอการค้าชี้ 'คนละครึ่งเฟส 5' ได้คนละ 800 ช่วยเงินสะพัดหลายหมื่นล้าน เสนอให้ใช้ซื้อน้ำมันได้
โดย nattachat_c
29 ก.ค. 2565
240 views
ลุ้นกันอยู่นาน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือผู้ทำมาค้าขาย สำหรับโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ในที่สุด เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ได้มีมติให้มีโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ไม่เกิน 800 บาทต่อคน
-----------
วานนี้ (28 ก.ค. 65) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เดิมภาคเอกชนคิดว่าหมดหวังแล้ว หลังจากที่เคยเสนอให้รัฐขยายโครงการคนละครึ่ง และเติมเงินให้กลุ่มเปราะบาง ส่วนวงเงิน 800 บาทนั้น เชื่อว่ารัฐบาลได้ประเมินและคิดรอบด้าน โดยเฉพาะด้านงบประมาณ และบรรยากาศใช้จ่ายในช่วงครึ่งปีหลังที่เริ่มฟื้นตัว
ส่วนช่วงเวลาการใช้จ่าย คือ เดือนกันยายนถึงตุลาคม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะช่วงนั้นค่าใช้จ่ายประชาชนจะสูงขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น การปรับค่าไฟฟ้า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงค์ชาติ การร้องขอปรับค่าจ้างแรงงาน ราคาสินค้าทั่วไปยังสูง และเงินเฟ้อทรงตัวสูง ซึ่งเงินจากโครงการคนละครึ่ง จะช่วยค่าครองชีพให้ประชาชน ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะงัก ซึ่งเงินที่รัฐใช้ครั้งนี้เกือบ 3 หมื่นล้านบาท ก็จะเกิดสะพัดในระบบหลายหมื่นล้าน ถึงแสนล้านบาทได้ และส่งผลต่อจีดีพีโตได้อีก 0.1%
ขณะที่ในมุมของประชาชน บอกว่าดีใจ แม้ว่าวงเงิน 800 บาทต่อคน จะน้อยในภาวะราคาสินค้าแพง แต่ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก และอยากให้พิจารณาทบทวนการใช้สิทธิ์ ให้ใช้ซื้อน้ำมัน โดยเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ได้ด้วย เนื่องจากช่วงนี้ราคาน้ำมันนั้นแพงจริงๆ แต่ที่ต้องจับตา คือ การใช้จ่ายคนละครึ่งในรอบนี้อาจไม่สะดวกมากนัก เนื่องจากหลายร้านงดการรับคนละครึ่งไปแล้ว เพราะกลัวเรื่องภาษีเงินได้
ด้าน นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า 800 บาท ยังดีกว่าไม่มีมาตรการอะไรมากระตุ้นเลย และงบประมาณในส่วนนี้คงหมดแล้ว
-------------
อัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (FT) งวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค.65) อยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายงวดใหม่ อยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย จากเดิม 4 บาท เท่ากับค่าไฟเพิ่มขึ้น 18%
ด้าน นายธนิต โสรัตน์ กล่าวว่า เป็นการเพิ่มค่าครองชีพให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ราคาข้าวของก็สูงอยู่แล้ว ยังมาโดนค่าไฟที่เพิ่มขึ้นอีก ส่งผลให้รายได้สุทธิของปชช. หายไป 10.3%
โดยภาคเอกชนก็ต้องปรับตัว อุตสาหกรรมก็ต้องปรับตัว ที่โดนหนักสุดคืออุตสาหกรรมที่ผลิตและแปรรูปสินค้า ซึ่งค่าไฟเพิ่มขึ้น ค่าผลิตก็ต้องเพิ่มขึ้น แล้วสุดท้ายภาระจะตกมาอยู่ที่ประชาชน
-------------
ด้านราคานม มิลค์บอร์ด ชงครม.ขึ้นราคาน้ำนมดิบ 2.25 บ.ต่อกิโล
แต่ตอนนี้ ก.เกษตรฯ รอเข้าครม. ซึ่งอธิบดีกรมการค้าภายใน จะพิจารณาในความเป็นจริง เช่น ตามยี่ห้อ ตามประเภทนม ซึ่งแต่ละชนิดต้นทุนไม่เท่ากัน ถ้าพิจารณาแล้วว่าต้นทุนขึ้นสูงจริง ก็จะอนุญาตให้ปรับขึ้นได้
-------------
ด้านราคา บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ผ้าอนามัย ซึ่งทางผู้ผลิตได้เสนอปรับราคาไปยังกรมการค้าภายใน
นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ยังไม่ได้อนุมัติให้ขึ้นราคา ยกเว้นปุ๋ยเคมีที่ให้ขึ้นราคาไปก่อนหน้าแล้ว
-------------
ด้านราคาน้ำมันปาล์มขวด
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ราคาปาล์มขวดนั้น ได้ปรับลดลงต่อเนื่อง ทุกห้างได้พยายามลดราคาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งกรมฯ ได้ประติดตามสถานการณ์ราคาทุกสัปดาห์ โดยขณะนี้มีบางแห่งจำหน่ายในราคา 52-53 บาท/ขวด บางแห่งก็ 59-60 /ขวด ตามภาวะต้นทุน โดยมีแนวโน้มลดลง โดยกรมได้ติดตามสต็อกน้ำมันปาล์มอย่างใกล้ชิด
-------------
ด้านโครงการเพิ่มกำลังซื้อ 'บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ' เฟส 5
แถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษระยะที่ 5 จำนวน 200 บาท/คน ในระยะเวลา 2 เดือน จำนวนไม่เกิน 13,342,076 คน
ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนถึง 31 ตุลาคม 2565 รวมทั้งสิ้น 400 บาทต่อคน เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ราคาสินค้าและค่าครองชีพปรับสูงขึ้นนี้
โดยครั้งนี้ จะเป็นการลงทะเบียนใหม่
คาดว่าจะเริ่มเปิดลงทะเบียนได้ภายในเดือนสิงหาคม โดยจะจ้างนักศึกษา อาชีวะ ผู้ที่จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และไม่มีงานทำ มาฝึกอบรบเพื่อแนะนำในเรื่องของการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการฯรอบใหม่ เพราะการลงทะเบียนครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 10 ล้านคน และต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าสู่ระบบให้หมด
เกณฑ์ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการฯรอบใหม่ ยังยึดเกณฑ์เดิม คือ
- ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่มีหรือมีทรัพย์สินทางการเงิน
- เพียงแต่เพิ่มการนำรายได้ของครอบครัวมาเฉลี่ยรวมไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี
- จะต้องไม่มีหนี้สินบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
- หนี้สินยานพาหนะรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท
- คาดว่าบัตรสวัสดิการฯรอบใหม่จะเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การลงทะเบียนรอบใหม่นี้มีขึ้นเพื่อต้องการคัดกรองผู้มีรายได้น้อยตัวจริงเข้ามาอยู่ในระบบ
ซึ่งครั้งนี้จะมีการตรวจสอบข้อมูลผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทุกปีเพื่อให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรม โดยหากผู้รับบัตรสวัสดิการฯมีรายได้เกินเกณฑ์แล้ว จะต้องสละสิทธิเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยคนอื่นเข้ามารับสวัสดิการต่อ
------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/CQxuNW2qnJg