อาชญากรรม

จ่อแจ้งเพิ่ม 5 ข้อหา ‘เอ็ม’ พ่อฆ่าลูก มีปมกับเด็กผู้ชาย เปิดพฤติกรรมอำมหิต ไล่แทงพ่อ-บังคับน้องสาวกินสารพิษ

โดย thichaphat_d

24 ก.ย. 2566

419 views

ตำรวจประชุมคลี่คลายคดีนายเอ็มและเมียฆ่าลูก ยันผู้ต้องหามีเพียง 3 ราย เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มกับเอ็ม 5 ข้อหา หลังพบหลักฐาน ร่วมกับเจษฎา ทำร้ายลูก 2 คนเสียชีวิตในพื้นที่บางซื่อ เร่งตรวจสอบข้อมูลศพไร้ญาติกับสถานพยาบาลที่เกี่ยวข้อง หลังชิ้นส่วนกระดูกที่ขุดพบไม่ใช่มนุษย์

ความคืบหน้าทางคดี ที่นายส่องศักดิ์ ส่งแสง หรือเอ็ม พร้อมด้วยภรรยานางสาวเจษฎา และนางสาวสุนัน ร่วมกันก่อเหตุฆ่าลูกและนำไปทิ้งอำพรางศพตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างเข้มข้นจนทำให้ทราบว่ามีเด็กเสียชีวิตทั้งหมด 5 คน และรอดชีวิต 5 คน

แต่ยังคงเป็นปริศนาในการหาหลักฐานการเสียชีวิตของเด็กเมื่อปี 2559 และ 2561 ซึ่งยังไม่มีหลักฐานการเสียชีวิตหลังจากมีการขุดรื้อป่ารกริมถนนพหลโยธินช่วงกม. 25 พบเศษกระดูกกว่า 50 ชิ้น แต่ผลตรวจพบว่าไม่ใช่กระดูกของมนุษย์

วานนี้ (23 ก.ย.) พนักงานสอบสวนสืบสวนทั้งหมดจึงมีการประชุมหารือแนวทางการสืบสวนแสวงหาพยานหลักฐาน

โดยพลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า  คดีนี้จากการสรุปเบื้องต้นมีผู้ต้องหาเพียง 3 รายประกอบด้วย

- นายส่องศักดิ์ ส่งแสง หรือเอ็ม

- นางนางสาวสุนัน หรือจุ๋ม ภรรยาคนล่าสุด

- นางสาวเจษฎา หรือเจน ภรรยาคนที่สี่

ส่วนบุคคลอื่นยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงและยังไม่พบเรื่องการเสียชีวิตเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เมื่อช่วงสายวานนี้ (23 ก.ย.) ได้นำตัวนางสาวเจษฎาไปฝากขังเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งผลตรวจกระดูก 12 ชิ้นที่ขุดเจอในจุดที่ผู้ต้องหาให้การว่าได้นำไปทิ้งไว้ว่าไม่ใช่กระดูกมนุษย์นั้น ชุดสืบสวนและชุดสอบสวนจึงได้สอบปากคำนางสาวเจษฎาใหม่

โดยหากอ้างอิงจากคำให้การที่นางสาวเจษฎารับสารภาพและชี้จุดที่นำลูก 2 คนไปทิ้งใน พื้นที่ สน.บางซื่อ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าคำให้การตรงกับพยานหลักฐานที่พบ ดังนั้น ในเมื่อจุดที่ให้การว่านำลูกอีก 2 คนมาทิ้งในพื้นที่ สน.สายไหม มีความคาดเคลื่อน ก็เป็นไปได้ว่าเกิดจากลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนางสาวเจษฎาจำได้ว่าตอนที่นำมาทิ้งนั้น ลักษณะเป็นป่ากกและมีศาลพระภูมิ แต่เมื่อเทียบพิกัด พบว่าปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าว เปลี่ยนเป็นปั๊มน้ำมันไปแล้ว

ดังนั้น การหาพยานหลักฐาน การเสียชีวิตของเด็กปี 2559 และ 2561 จากนี้เจ้าหน้าที่จะไม่ลดละความพยายาม จะพยายามหาหลักฐานสองชิ้นนี้ให้ได้มากที่สุด โดยเป็นการแสวงหาข้อมูลจากสถานพยาบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบหาประวัติศพไร้ญาติ แต่ในเบื้องต้นได้ตรวจสอบจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม , โรงพยาบาลภูมิพล ในห้วงปีที่เกิดเหตุแล้ว ไม่พบข้อมูลดีเอ็นเอที่ตรงกัน และขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลจากรถเก็บขยะอีกทางหนึ่ง ซึ่งรถที่เก็บขยะในย่านดังกล่าวจะเก็บจากย่านสายไหมไปรวมไว้ที่ท่าแร้ง จากนั้นจะส่งต่อไปยัง อำเภอ กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

ซึ่งจากการสอบถามพบว่าในตอนที่นำศพเด็กชายวัย 1 เดือนเมื่อปี 2559 และ 2561 ไปทิ้งนั้นลูกคนโตของนางสาวสุนัน ได้เดินทางไปกับนายเอ็มและนางสาวเจษฎาด้วย แต่ให้การว่ามีการทิ้งศพบริเวณแถวโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งอยู่ห่างไกลกันกับย่านสายไหม จึงยังไม่แน่ชัดในข้อมูลส่วนนี้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบและหาข้อมูลเบื้องต้นไม่พบความเชื่อมโยงกันกับจุดนี้ จึงได้ขอร้องประชาชนหากผู้ใดพบเห็นหรือมีข้อมูลเกี่ยวกับ การพบศพเมื่อปี 2559 และ 61 ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แต่สำหรับสองศพที่เกิดขึ้นในบางซื่อมีความชัดเจนในเรื่องของดีเอ็นเอแล้ว โดยในวันจันทร์ที่ 25 กันยายน จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายเอ็มเพิ่มเติมในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร  5 ข้อหา เช่นเดียวกับที่แจ้งต่อนางสาวเจษฎา ผู้เป็นภรรยาและแม่ของเด็กที่เสียชีวิต ประกอบด้วย  

1. ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นได้รับอันตรายสาหัส

2. ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย

3. ลอบฝัง ซ่อนเร้นย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย

4. ผู้ใดเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้นเอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งหลักฐานในการกระทำความผิด

5. ร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือเพื่ออำพรางคดี  

ส่วนพฤติการณ์ของนายเอ็ม เข้าข่ายเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องหรือไม่ ตำรวจอยู่ระหว่างพิจารณาตรวจสอบหลักฐานทางคดี เพื่อแจ้งข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น”

ส่วนคดีค้ามนุษย์ จากการที่นายเอ็มนำลูกที่เกิดขึ้นกับนางสาวสุนัน มาดูแลแล้วมีอาการปากแหว่งเพดานโหว่และตาบอด จากนั้นได้ไปเปิดขอรับบริจาค โดยนายเอ็มและนางสาวเจษฎารู้เห็นร่วมกันนั้นเรื่องนี้ พนักงานสอบสวนได้ประสานกับเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้ว เบื้องต้นตัวเด็กยังไม่พร้อมที่จะพูดคุย  

ส่วนความผิดปกติทางร่างกายของเด็กหญิงวัย 4 ขวบที่มีอาการปากแหว่งเพดานโวและตาบอดนั้น พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแวดล้อมทั้งการสอบปากคำพยานไปจนถึงหลักฐานที่ได้จากสถานพยาบาลที่เด็กคลอด และยืนยันได้แล้วว่า เด็กเกิดมาในสภาพร่างกายปกติจึงน่าเชื่อได้ว่า การที่เด็กมีสภาพร่างกายผิดปกตินั้น จากการทำร้าย โดยยังไม่แน่ชัดว่าบุคคลใดเป็นคนทำร้าย

โดยจากการสอบปากคำนางสาวเจษฎา ยืนยันว่า ช่วงปี 2564-2565 ที่นายส่องศักดิ์นำเด็กมาให้เลี้ยงดูนั้น เด็กยังปกติ แต่มีเชื้อราที่ปาก ซึ่งนางสาวเจษฎา ก็ยังสงสัยว่าทำไมอาการเยอะ และหายาม่วงมารักษาให้ ขณะที่นายส่องศักดิ์และนางสาวสุนัน ยังไม่เปิดปากตอบเรื่องนี้ โดยพนักงานสอบสวน จะเข้าไปสอบปากคำในเรือนจำเพิ่มเติม หลังได้ผลตรวจจากแพทย์นิติเวชว่าสาเหตุเกิดจากอะไร หากพบว่ามีการทำร้ายเด็กจนมีอาการปากแหว่งและอาศัยความพิการไปแสวงหาผลประโยชน์ ก็จะประสานกับเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ทำการคัดแยกเหยื่อ หากเข้าองค์ประกอบความผิดค้ามนุษย์ ก็จะดำเนินคดีถึงที่สุด โดยนางสาวเจษฎาจะมีความผิดด้วย เพราะเป็นผู้เปิดเฟซบุ๊กโพสต์ขอรับบริจาค

ส่วนในคดีที่นายเอ็มร่วมกระทำความผิดกับนางสาวสุนัน กรณีทำร้ายลูกจนเสียชีวิตและย้ายศพไปโบกปูนที่จังหวัดกำแพงเพชรนั้น ก็ยังอยู่นะหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา ในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่น  

รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผย ในเบื้องต้นว่า การสอบปากคำพยานแวดล้อม พบมูลเหตุจูงใจที่นายเอ็มมักจะก่อเหตุกับลูกผู้ชาย โดยนายเอ็มไม่ชอบเด็กผู้ชายและไม่สามารถทนต่อเสียงร้องของเด็กได้ เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องก็จะโมโหร้ายและทำร้ายร่างกายลูก ส่วนลูกสาวที่มีกับนางสาวสุนัน และนายเอ็มลงมือทำร้ายจนเสียชีวิตนั้น เพราะลูกสาวมีใบหน้าคล้ายผู้ชายเท่านั้น

ส่วนการตรวจสอบประวัติของนายเอ็มจากพ่อ ข้อมูลว่า เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ในช่วงปี 2540-2546 นายเอ็มเคยบังคับให้น้องสาวดื่มยาพิษ เมื่อน้องสาวขัดขืนก็ใช้มีดจี้บังคับ พ่อเข้าห้ามปรามนายเอ็มก็ทำร้ายด้วยการต่อยตี จึงตัดขาดสายสัมพันธ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  

ขณะที่ภรรยาคนที่ 1 ให้การว่า ช่วงคบหากัน ปี 2545-2549 ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ

ภรรยาคนที่ 2 คบหากันปี 2552 แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ให้การว่า ได้ถูกนายส่องศักดิ์ ใช้มีดจี้บังคับให้ไปจดทะเบียนสมรส และยังมีพฤติกรรมเตะ ต่อย ตี จนเจ้าตัวต้องแกล้งสลบ เพื่อไม่ให้ถึงแก่ชีวิต และปัจจุบันก็ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน

ภรรยาคนที่ 3 ให้การว่า ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ

ภรรยาคนที่ 4 นางสาวเจษฎา ซึ่งมีลูกด้วยกันมากที่สุดถึง 5 คนและร่วมกันฆ่าลูกที่เป็นลูกชายทั้งหมด พร้อมทั้งทำร้ายร่างกายนางสาวเจษฎาอย่างทุกข์ทรมานและก่อเหตุฆ่าและอำพรางศพลูกทั้ง 4 คน

ภรรยาคนล่าสุด นางสาวสุนัน มีลูกด้วยกัน 3 คน คนโตอายุ 4 ขวบ นางสาวเจษฎาเป็นคนช่วยดูแลจากเดิมที่เป็นเด็กปกติก็กลายเป็นเด็กที่มีร่างกายผิดปกติ เพราะจากการกระทำของนายเอ็ม โดยอ้างว่าปากของเด็กเป็นเชื้อรา จึงเกิดร่องรอยสภาพคล้ายกับเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ ซึ่งจากคำให้การแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้จึงจะต้องไปสอบปากคำอีกครั้งว่านายเอ็มทำวิธีใดกับเด็กรายนี้

ส่วนลูกสาววัยสองขวบก็ถูกฆ่าแล้วนำไปฝังโบกปูนที่จังหวัดกำแพงเพชรยังคงเหลือเด็กชายวัยหกเดือนที่ญาติเลี้ยงดูอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร

ทั้งนี้ จากการสอบถามมารดาของนางสาวสุนัน ให้การว่า นายส่องศักดิ์และนางสาวสุนัน ได้นำน้องโตโต้ ลูกชายคนสุดท้องมาฝากตนเลี้ยงไว้ โดยตอนพามาก็มีร่องรอยบาดแผล ทราบว่าถูกนายส่องศักดิ์ทำร้าย เพราะโมโหง่าย และนายส่องศักดิ์ ยังเคยพูดกับนางสาวสุนันว่า “กูไม่ชอบ ไม่สนเด็กผู้ชาย” โดยนายส่องศักดิ์ ก็ไม่เคยมาเยี่ยมหรือส่งเสียค่าเลี้ยงดูเลย ซึ่งคำให้การนี้สอดคล้องกับมูลเหตุว่า ทำไมเด็กชายถึงเสียชีวิต



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/_oH0jzuddCc

คุณอาจสนใจ

Related News