อาชญากรรม
สั่งเด้ง 40 ตร.ทางหลวง เซ่นส่วยรถบรรทุก 'วิโรจน์' ประกาศขายสติกเกอร์ชนส่วย - เสนอมาตรการเพิ่มเติม
โดย passamon_a
10 มิ.ย. 2566
737 views
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 9 มิ.ย.66 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รักษาราชการแทน ผบก.ทล. ลงนามหนังสือคำสั่งกองบังคับการตำรวจทางหลวง ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2566 เรื่องโยกย้ายข้าราชการตำรวจทางหลวงต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก และเรียกรับผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวน 40 นาย
ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ตำแหน่ง รอง ผกก. 1 นาย ตำแหน่ง รอง สว. จำนวน 17 นาย และเจ้าหน้าที่ระดับชั้นประทวน จำนวน 22 นาย ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ ศปก.บก.ทล. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายนเป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ก็เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ เป็นไปด้วยความโปร่งใส
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงทั้ง 40 นาย พบในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ถึง 12 นาย ที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเป็นผลพวงจากกรณีที่ก่อนหน้าเคยถูกร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องเรียกรับเงินสินบนอื่น ๆ จากผู้ประกอบการรถบรรทุก
ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ประกาศขายสติกเกอร์ ดาวเคราะห์น้อยชนส่วย ระบุว่า "ท่านใดสนใจ "สติกเกอร์ดาวเคราะห์น้อยชนส่วย" ที่เป็น Rare item มีจำนวนจำกัด สามารถหาซื้อได้แล้วนะครับ ที่พรรคก้าวไกล อาคารอนาคตใหม่ ชั้น 2 ราคาดวงละ 50 บาท"
นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุถึง 3 มาตรการเพิ่มเติม กำราบส่วยทางหลวง 1. สาวถึงโรงงานต้นทาง 2. จัดการกับตำรวจค้าสำนวน 3. เลิกโบกกลั่นแกล้ง
จากการหารือร่วมกันระหว่างผม อ.สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ - Surachet Pravinvongvuth และผู้แทนจากสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กับคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ฎิษพจน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. รรท.รอง จตร. และ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 นอกจากการส่งมอบเบาะแสเพื่อการสืบสวนขยายผลเรื่อง "ส่วยสติกเกอร์" แล้ว ที่ประชุมยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมร่วมกัน ในการจัดการกับปัญหาส่วยทางหลวง ให้ครอบคลุมเพิ่มเติมอีก 3 มาตรการ ด้วยกัน คือ
1. การพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ประกอบการต้นทาง เช่น โรงโม่หิน บ่อดิน บ่อทราย โรงงาน ฯลฯ ที่มีเจตนาใส่น้ำหนักเกินให้กับรถบรรทุก มาตั้งแต่ต้นทาง ยัดเยียดให้แบกตู้คอนเทนเนอร์ 2 ตู้ ในคราวเดียวกัน เนื่องจากผู้ประกอบการต้นทางเหล่านี้ มีตราชั่งที่สถานประกอบการอยู่แล้ว รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าน้ำหนักบรรทุกต้นทางเป็นเท่าใด แต่ก็ยังบังคับยัดเยียดให้รถบรรทุกแบกน้ำหนักเกิน โดยจะพิจารณาดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วน พร้อมกับเสนอให้ยึดใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หรือ ร.ง.4 ด้วย
เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการต้นทางเหล่านี้ มักจะบีบบังคับให้ผู้ขับรถบรรทุกต้องจำยอมบรรทุกน้ำหนักเกิน โดยไม่เคยต้องมาร่วมรับผิดชอบอะไร สำหรับการสืบสวนหาผู้ประกอบการต้นทางที่สนับสนุนการกระทำผิด ก็ไม่ยากเลย เพราะรถบรรทุกทุกคัน ต้องติดตั้ง GPS ตามกฎหมายอยู่แล้ว แค่ตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเดินทาง ก็จะทราบโดยทันทีว่าผู้ประกอบการต้นทางนั้นเป็นใคร
2. จัดการกับพนักงานสอบสวนบางนาย ที่มีพฤติกรรม "ค้าสำนวน" ที่นำเอา "การริบรถ" มาใช้เรียกรับผลประโยชน์จากรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ใครที่ยอมจ่าย 30,000-70,000 บาท ก็จะทำสัญญาเช่าช่วงรถเท็จขึ้นมาในสำนวน เพื่อเปลี่ยนสถานะของผู้ขับรถ จาก "ลูกจ้าง" ให้มาเป็น "ผู้เช่ารถ" เพื่อที่รถบรรทุกคันดังกล่าวจะได้ไม่ถูกริบ พฤติกรรมการค้าสำนวนแบบนี้ ทำให้รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินไปเพียงเล็กน้อย 100-200 กิโลกรัม ซึ่งไม่มีเจตนาในการบรรทุกน้ำหนักเกินอยู่แล้ว ต้องถูกกฎหมายรังแก ในขณะที่รถบรรทุกที่จงใจบรรทุกน้ำหนักเกิน 30-40 ตัน กลับลอยนวลพ้นผิด หรือรับโทษเพียงแค่สถานเบา
นอกจากนี้ ยังพบเบาะแสเพิ่มเติมว่า ในบางท้องที่ พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินการค้าสำนวนโดยลำพัง แต่มีการเชื่อมโยงไปยังพนักงานอัยการบางท่านอีกด้วย ถือเป็นความเสื่อมเสียของกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก
ซึ่งกรณีนี้ ทางจเรตำรวจ ได้รับข้อเสนอไปตรวจสอบสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับรถบรรทุกน้ำหนักเกินย้อนหลัง หากพบพฤติกรรมการค้าสำนวนของพนักงานสอบสวน ก็จะสืบสวนขยายผล และพิจารณาดำเนินการทั้งทางวินัย และทางอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยไม่มีการละเว้น
3. ทาง พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจที่ไม่ดีบางนาย ใช้อำนาจตามอำเภอใจ โบกให้รถบรรทุกจอด แล้ววนตรวจจุกจิกไปมา เพื่อกลั่นแกล้งให้รถบรรทุกที่ไม่ยอมจ่ายส่วย เสียเวลาทำมาหากิน
ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะออกคำสั่งเพื่อกำชับการใช้อำนาจของตำรวจทางหลวงทุกสถานี โดยจะโบกให้รถบรรทุกจอดเพื่อตรวจสอบ ในกรณีที่มีเหตุต้องสงสัยเท่านั้น เช่น พบลักษณะรถที่ต้องสงสัยตามการข่าวที่ได้รับ พบการดัดแปลงสภาพรถ หรือพบลักษณะทางกายภาพที่ต้องสงสัยว่าจะบรรทุกน้ำหนักเกิน เป็นต้น
ซึ่งท่านรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ย้ำว่า ด้วยประสบการณ์ของตำรวจทางหลวง แค่พิจารณาด้วยสายตา ก็รู้อยู่แล้วว่ารถบรรทุกสภาพแบบไหน ที่ต้องสงสัยว่าจะบรรทุกน้ำหนักเกิน ดังนั้นการโบกรถที่ไม่มีเหตุต้องสงสัยให้จอดตามอำเภอใจ เพื่อทำให้เสียเวลาทำมาหากิน จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่าน ทั้งท่าน พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ พล.ต.ท.ฎิษพจน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกท่าน ที่กรุณาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาส่วนทางหลวงนี้อย่างจริงจัง
สำหรับพรรคก้าวไกล ผม และ อ.สุรเชษฐ์ ก็จะเร่งผลักดันการแก้ไขที่ควบคู่กันไปกับการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีก 5 ด้านด้วยกัน คือ
1. การทบทวนแก้ไขกฎหมายที่ไม่ทันสมัย ไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง บทกำหนดโทษที่ไม่ได้สัดส่วน การให้ดุลพินิจกับเจ้าหน้าที่ที่ล้นเกิน การขออนุญาต และงานทะเบียนที่มีขั้นตอนมากมายเกินจำเป็น
2. การออกกฎหมาย พ.ร.บ.ปกป้องผู้เปิดโปงการทุจริต (Whistleblower Protection Act) เพื่อทลายการทุจริตแบบยกรัง ทั้งขบวนการ สาวถึงต้นตอ
3. การวางระบบในการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐอย่างโปร่งใส มี AI ในการตรวจจับข้อพิรุธที่ส่อเค้าการทุจริต
4. การผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ลง เช่น การชั่งน้ำหนักขณะรถวิ่ง (Weigh In Motion: WIM) และการใช้ระบบ GPS ในการสาวถึงผู้ประกอบการต้นทาง ที่มีเจตนาใส่น้ำหนักบรรทุกเกิน เป็นต้น
5. การยกเลิกระบบตั๋ว และการซื้อขายตำแหน่งในแวดวงตำรวจ และข้าราชการ ในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ เพื่อให้ข้าราชการที่ตั้งใจทำงานโดยสุจริต มีความก้าวหน้าในอาชีพ ได้รับผิดชอบในระดับบังคับบัญชา ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้งานราชการ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และปลอดจากการคอรัปชั่น
ผมเชื่อว่า ถ้าพวกเราช่วยกันทำตามหมุดหมายทั้งหมดเหล่านี้ ประเทศชาติบ้านเมือง จะดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ