อาชญากรรม

‘ชูวิทย์’ ถาม ‘ทนายตั้ม’ รับงานใครมา ยัน ลูกชายไม่เคยรับเงินดิจิทัล 50 ล.

โดย attayuth_b

23 มี.ค. 2566

116 views

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงโต้นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ที่โรงแรมเดวิส หลังถูกทนายตั้มแฉเรื่องถุงเงิน ว่านายชูวิทย์รับมาจากสารวัตรซัว

โดยก่อนการแถลงนายชูวิทย์ได้อุ้มรูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมให้คำสัตย์ว่าหากพูดโกหก ก็ขอให้เกิดความวิบัติแก่ตนเอง หากพูดความจริงก็ขอให้เกิดแต่ความเจริญ พร้อมแสดงเชิงสัญลักษณ์โดยการนำเหรียญมาหยอดใส่ตาชั่ง

ทั้งนี้ชูวิทย์ได้แถลงตอบโต้ในหลายประเด็น โดยเริ่มจากทนายตั้มบอกว่าได้ข้อมูลทั้งหมดมาจากหลานของตนนั้น ตนขอชี้แจงว่า หลานของตนที่ทนายตั้มพูดถึง คือ นายเปา (นายจิราวัฒน์ โพธิสุวรรณ) ซึ่งตนเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กเหมือนลูก เพราะพ่อนายเปาติดคุก ส่วนแม่แยกทาง ตนส่งนายเปาเรียนที่โรงเรียนชื่อดังจนจบ แล้วให้มาติดตามตน

ต่อมาตนติกคุกจึงให้นายเปาทำหน้าที่ไปเก็บเงินค่าเช่าคอนโดของตนเพื่อเป็นรายได้ แต่นายเปาบอกว่าผู้เช่าคอนโดไม่จ่ายเงิน จนตนออกจากคุกจึงรู้ความจริงว่าผู้เช่าจ่ายเงินค่าเช่าคอนโดให้นายเปา แต่นายเปาไม่เอาเงินมาให้ตน ตนจึงต่อว่าทำให้นายเปาลาออกแล้วไปทำงานกับสารวัตรซัว ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเดียวกัน โดยนายเปาได้ค่าจ้างจากสารวัตรซัวเดือนละ 3 ถึง 4 แสนบาทและให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลาลิซ่าอาบอาบนวด ของสารวัตรซัว

ส่วนประเด็นเรื่องถุงเงินที่ทนายษิทราออกมาแฉว่า เงินในถุงกระดาษทั้ง 2 ถุงไม่ได้มี 6 ล้านบาท แต่น่าจะมีถึง 10 ล้านบาท ตนยืนยันว่าเงินในถุงกระถาษมีเงินใส่อยู่ถุงละ 3 ล้านบาท รวมทั้งหมดมี 6 ล้านบาท เงินจำนวนนี้อดีตตำรวจยศพลตำรวจโทชื่อ อ. และ พลตำรวจตรีชื่อ ป. ซึ่งรู้จักตั้งแต่สมัยตนเปิดอาบอบนวด เป็นคนเอามาให้ และบอกว่าเป็นเงินของสารวัตรซัว ซึ่งตนปฏิเสธที่จะรับเงิน แต่อดีตตำรวจทั้ง 2 นาย ไม่ยอมเอาเงินกลับ ตนจึงต้องรับไว้โดยภาพถุงเงินทั้ง 2 ถุงไม่ได้ถ่ายที่โรงแรมเดวิส แต่ไม่รู้ว่าถ่ายที่ไหน ตนควรเอาเงินทั้งหมดไปให้ ป.ป.ง. แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ จึงเอาไปบริจาค ให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียติ 3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ และนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลศิริราช 3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม

ทั้งนี้หากเงินที่ได้มา คือ 10 ล้านบาทอย่างที่ทนายตั้มบอก ตนจะแบ่งเก็บไว้และบริจาคก็ได้ แต่ตนมีทรัพย์สินมากกว่าเงินที่ได้มาเยอะ

ส่วนประเด็นที่ทนายตั้ม พูดว่าทำไมตนถึงไม่แฉพฤติกรรมของนายแทนไทต่อ และแฉเพียงแค่วันเดียวนั้น ตนมีข้อมูลนายแทนไทไม่เพียงพอ ยอมรับว่าตนเคยพบกับนายแทนไท เนื่องจากอดีตตำรวจยศพลตำรวจเอก มาหาตนที่โรงแรมเดวิส พร้อมนายแทนไท เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องดำเนินคดีกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ดีหรือไม่ หลังนายสนธิไม่เชื่อว่านายแทนไท ทำธุรกิจขาวสะอาด ซึงตนก็แนะนำว่าอย่าฟ้องเพราะสู้ไม่ได้ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมาปรึกษาตนเรื่องนี้

ประเด็นต่อมาคือเรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาทจากกลุ่มทำเว็บพนัน ที่ทนายตั้มบอกว่ามีการโอนเข้าบัญชีกล่องดวงใจของตน ซึ่งก็คือนายเติมตระกูล ยืนยันว่าไม่มีเพราะตนให้เงินเดือนลูกชายและลูกชายก็มีอันจะกิน และลูกชายตนก็ไม่เคยเล่นการพนัน

ทั้งนี้นายชูวิทย์ ยอมรับว่าเคยโทรไปหาทนายตั้ม กรณีที่ทนายตั้มออกมาแฉความสัมพันธ์ของอดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีคลิปลับกับหญิงสาวรายหนึ่ง เนื่องจากตนตั้งข้อสังเกตุว่า คนแก่อายุกว่า 80 ปี จะไปหลอกเด็กได้อย่างไร มีแต่เด็กที่หลอกคนแก่ จนล่าสุด ตำรวจ สน.บางยี่ขัน ได้ดำเนินคดีกับครอบครัวของ หญิงสาวที่ปรากฎในคลิป ส่วนเหตุที่ตนโทรไปทนายต้ั้ม เพราะตนมีประสบการณ์มองโลกได้มากกว่า

นายชูวิทย์ ยังถามถึงทนายตั้มว่ารับงานมาจากใคร ให้มาโจมตีตน เพราะไม่ทราบว่าทำไมทนายตั้มถึงออกมาพูดเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากที่ตนแฉเรื่องธุรกิจสีเทา ก็มีคนมาพบและเสนอเงิน แต่ตนไม่เคยรับเงินจากลุ่มไหนเลย ยกเว้นที่2นายตำรวจเอามาวางไว้ให้ ซึ่งเป็นเหตุจำใจที่ต้องรับ ยืนยันว่าไม่โกรธทนายตั้มและในอนาคตหากทนายตั้มสนใจอยากร่วมแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้ากับตนก็ยินดี แต่ต้องเป็นประโยนช์ต่อประชาชนส่วนใหญ่



รับชมทางยูทูบที่ : https://youtu.be/0cexpdQCFqM

คุณอาจสนใจ

Related News