คนร้ายขโมยปืน 2 กระบอก หลังดักยิงทหารพราน เผารถวอด ภรรยาเล่าทั้งน้ำตา เป็นเมียทหารต้องอดทน

เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 1 ม.ค.68 พ.ต.อ.นิยม สุวรรณคง ผกก.สส.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.อัสรี ต่วนเพ็ง ผกก.สภ.สุไหงปาดี และเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส พร้อมชุดสุนัขดมกลิ่น ได้เดินทางเข้าตรวจสอบเหตุคนร้ายดักซุ่มยิง จ.ส.อ.อนัน อายุ 45 ปี เจ้าหน้าที่การข่าวกรมทหารพรานที่ 48 เสียชีวิตบริเวณหน้าคอกวัว หลังของบ้านภรรยาในพื้นที่ ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี เมื่อเวลา 17.40 น. ของวันที่ 31 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา

เมื่อถึงจุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ใช้สุนัขดมกลิ่นในการเคลียร์พื้นที่โดยรอบ ก่อนที่จะใช้เครื่องตรวจจับวัตถุโลหะในการสแกนพื้นที่เพื่อสร้างความปลอดภัย โดยใช้เวลานานกว่า 20 นาที ก่อนที่จะเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบ ที่บริเวณศพ จ.ส.อ.อนัน นอนเสียชีวิต ซึ่งห่างจากรถยนต์กระบะประมาณ 10 เมตร มีปลอกกระสุนปืน เอ็ม.16 และอา.ก้า.ตกอยู่จำนวนเกือบ 10 ปลอก และที่บริเวณด้านตรงข้ามหรือขวามือนับจากรถยนต์กระบะที่ถูกเผาจอดอยู่ เจ้าหน้าที่ยังพบปลอกกระสุนปืนทั้ง 2 ชนิด ตกอยู่เช่นกัน จำนวนเกลือบ 10 ปลอก

นอกจากนี้ที่บริเวณพุ่มไม้และพงหญ้ารกทึบที่อยู่บริเวณตรงกันข้ามกับประตูทางเข้าของคอกวัว เจ้าหน้าที่พบรอยเหยียบย้ำที่กิ่งไม้หักและเตียนราบ ซึ่งคาดว่าเป็นจุดที่คนร้ายใช้พื้นที่เป็นที่ดักซุ่มยิง เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ

จากการสอบสวนและได้ประเมินสถานที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทราบว่า หลังจากที่ จ.ส.อ.อนัน ได้เดินทางไปตัดหญ้าให้วัวและได้ขนไว้เต็มท้ายรถกระบะ จึงได้ขับรถยนต์กระบะมาจอดเพื่อเปิดประตูคอกวัว ทันใดนั้นคนร้ายที่ดักซุ่มอยู่ในพุ่มไม้และพงหญ้ารกทึบ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับประตูคอกวัว ได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม.16 และกา.ก้า.ยิงออกจากฝั่งขวาและฝั่งซ้ายของพุ่มไม้จำนวนหลายนัด จ.ส.อ.อนัน เห็นดังนั้นจึงได้เปิดประตูรถและวิ่งหาที่กำบังเพื่อใช้อาวุธปืนพก ขนาด 9 ม.ม.ที่ติดตัวอยู่ยิงต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายที่คาดว่า มีอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 4 คน แต่ด้วยคนร้ายมีจำนวนมากกว่าจึงถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต โดยที่ไม่มีโอกาสต่อสู้ เมื่อคนร้ายเห็น จ.ส.อ.อนัน ล้มลงกับพื้นที่คนร้ายได้ใช้อาวุธปืน เอ็ม.16 ยิงซ้ำที่ศีรษะและใบหน้าจนพรุน เพื่อให้มั่นใจว่าเสียชีวิต

จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้หยิบอาวุธปืนพก ขนาด 9 ม.ม.ของ จ.ส.อ.อนัน ที่ทำตกล้นไว้ พร้อมทั้งได้แยกย้ายกันค้นภายในรถยนต์กระบะ พบอาวุธปืน อา.ก้า.ของ จ.ส.อ.อนัน อีก 1 กระบอกที่เก็บไว้ภายในช่วงแค๊ปหลัง ก่อนที่คนร้ายจะวางเพลิงรถยนต์กระบะให้ลุกไหม้ แล้วกลุ่มคนร้ายได้อาศัยความชำนาญพื้นที่หลบหนีไป โดยใช้เส้นทางข้ามรางรถไฟที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ

นอกจากนี้ก่อนหน้านั้นในช่วงเวลา 08.00 น. ของวันเดียวกันนี้ พ.อ.ปัญจพล ทรัพย์บวร ผบ.ฉก.ทพ.48 และผบ.ร้อยฐานปฏิบัติการต่างในพื้นที่ทั้ง 13 อำเภอ ของ จ.นราธิวาส ได้เดินทางมายังบ้าน น.ส.ชยาตา เพชรชยังกูร ภรรยาของ จ.ส.อ.อนัน ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 700 เมตร เพื่อมาร่วมพิธีอาบน้ำศพ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปฝังที่กูโบร์บ้านต้นไม้สูง ม.2 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี โดย พ.อ.ปัญจพล ผบ.ฉก.กรม ทพ.48 ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งแก่ภรรยาของ จ.ส.อ.อนัน ซึ่งภรรยาได้เข้าสวมกอดและร้องไห้โฮออกมา จน พ.อ.ปัญจพล ผบ.ฉก.กรม ทพ.48 ต้องปลอบประโลม ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลดหดหู่ของประชาชนที่เดินทางมาร่วมพิธีดังกล่าว

ส่วนประวัติของครอบครัว จ.ส.อ.อนัน และภรรยา ได้อยู่กินร่วมกันมานานกว่า 4 ปี ด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน โดยในช่วงปี 58 นายมาดี บิดาของภรรยา จ.ส.อ.อนัน ถูกสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยิงเสียชีวิต ในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา และในช่วงปี 49 เคยถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ร้านอาหารธารา จนแพทย์ต้องใส่กระโหลกศีรษะเทียมให้จนถึงปัจจุบัน แต่โชคดีในสมัยนั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในสมัยนั้นดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ ศอ.บต. ได้ฝากเข้าทำงานเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดน อ.สุไหงปาดี ที่บ้านเกิดจนมาถึงปัจจุบันนี้

ด้านภรรยา จ.ส.อ.อนัน ได้เปิดเผยด้วยน้ำตา ว่าเราตกลงกันตั้งแต่รักกันใหม่ๆ งานเขากับงานเราๆ เข้าใจกันว่ามันเป็นไหน คือแกออกไปไหนไม่เคยรู้ทำอะไรไม่เคยรู้แกไม่บอก เราก็ไม่เคยโทรตามหรืออะไรก็แค่ว่ากลับมั๊ยกลับหรือป่าวอะไรแบบนี้ แกบอกว่าบอกไม่ได้ความลับทางราชการเกี่ยวกับงานของเขาเป็นความลับทุกอย่าง แค่รู้ว่าไปประชุมนะ ไปทำงานนะ ถ้ากลับได้ก็จะกลับอะไรประมาณนั้น ชีวิตเขาสละได้เพื่อชาติเราต้องทำใจเราต้องเข้มแข็ง เพราะเขาเลือกแล้วที่จะปกป้องชาติ และเขาขอตายให้สมศักดิ์ศรีเขาบอกให้เขาได้ต่อสู้เพื่อประเทศไทย เราเป็นเมียทหารเราต้องเสียสละทุกอย่าง ความสุขของเราก็คือเห็นประเทศชาติสงบสุข 3 จังหวัดไม่มีเรื่องแบบนี้แกบอกแบบนั้น ซึ่งเราพ่อก็โดนยิงในสถานการณ์และเราก็โดนระเบิด เราเลยเข้าใจแล้วเรายังอยู่ยังไม่ถึงคราวของเราๆ ก็ต้องอยู่ต่อ