อาชญากรรม

โฆษกศาล ชี้ความเห็นแย้งคดีลุงพล ไม่มีผลโดยตรงต่อการวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์

โดย nutda_t

21 ธ.ค. 2566

119 views

นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยกรณีศาลชั้นต้นจังหวัดมุกดาหาร สั่งจำคุก นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล จำเลยคดีน้องชมพู่ จำคุก 20 ปี ว่าสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนที่ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าควรยกฟ้อง(เห็นแย้ง)​ เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัยนั้น คำเห็นแย้งก็จะอยู่ในสำนวนประจำคำพิพากษา เมื่อเวลาคดีขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์ องค์คณะศาลอุทธรณ์ก็จะเห็นทั้งตัวคำพิพากษาศาลชั้นต้นและความเห็นแย้ง ซึ่งทางองค์คณะศาลอุทธรณ์ ก็จะเอาข้อมูลทั้งหมดในสำนวน ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น รวมทั้งความเห็นแย้งต่างๆ ข้อที่คู่ความอุทธรณ์ขึ้นมาประกอบในการพิจารณาทำคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์

แต่คำเห็นแย้งดังกล่าวคงไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์โดยตรง เพราะตัวความเห็นหลักยังเป็นความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เพราะองค์คณะผู้พิพากษาเป็นคนสืบพยาน เป็นผู้ที่เห็นข้อเท็จจริงในตอนที่พยานมาเบิกความเห็น ข้อเท็จจริงพยานหลักฐานต่างๆ อย่างใกล้ชิด ส่วนน้ำหนักความเห็นแย้งจะมีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับมุมมองขององค์คณะผู้พิพากษาชั้นอุทธรณ์ หากยังเห็นคล้อยไปตามเสียงข้างมากขององค์คณะผู้พิพากษา ก็เป็นดุลยพินิจของศาลในชั้นอุทธรณ์ ที่จะต้องวิเคราะห์วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงจากคำเบิกความที่รับฟังมา ทั้งพยานเบิกความมา จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ มาประกอบกัน และเห็นว่าตัวข้อเท็จจริงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ กับคำเบิกมีสอดคล้องกัน เพียงพอเชื่อมั่นได้ว่าจำเลยน่าจะเป็นคนที่กระทำความผิด

พร้อมย้ำว่าในการบังคับบัญชาของผู้พิพากษาหรือตุลาการ ไม่เหมือนกับข้าราชการฝ่ายอื่น เพราะถึงแม้ว่าโดยสายของการบังคับบัญชา ในองค์กรผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะฯ จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษาฯ แต่การบังคับบัญชาไม่มีผลต่อการพิพากษาคดี เพราะหลักการพิพากษาคดีเป็นอิสระ ไม่ว่าจะเป็นอิสระจากการแทรกแซงภายนอกและภายใน ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลยพินิจในการพิพากษาออกไปได้ โดยที่ไม่ได้เน้นผลของการบังคับบัญชา แต่ในฐานะที่หัวหน้าและอธิบดีศาล เป็นผู้รับผิดชอบราชการในงานของศาลนั้น ก็มีส่วนในการดูแลความเรียบร้อยของศาลที่อยู่ในการดูแลอยูแล้ว ดังนั้นหากมีอะไรที่เห็นส่วนตัวอาจจะแตกต่างไปจากองค์คณะผู้พิพากษา ก็มีอำนาจตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่จะทำความเห็นไว้ในสำนวนได้

ส่วนกลุ่มนักกฎหมายที่ออกมาแสดงความเห็นนั้น ตนเองยังไม่ทราบรายละเอียดว่าออกมาแสดงความเห็นกันอย่างไรบ้าง แต่กระบวนการตรงนี้เป็นกระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมายอยู่แล้ว ที่องค์คณะผู้พิพากษามีอิสระในการรับฟังพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในการวินิจฉัยไปตามเหตุและผลจากพยานหลักฐาน ส่วนความเห็นแย้ง เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ที่กระทรวงยุติธรรมให้อำนาจหัวหน้าศาลและอธิบดีศาลภาคไว้

ส่วนการที่หัวหน้าศาลและอธิบดีศาลภาค มีความเห็นแย้งจะต้องไปนั่งบัลลังก์หรือไม่นั้น ระบุว่า เป็นคนละกรณีกัน กรณีที่ไปนั่งในห้องพิจารณาถือเป็นคณะส่วนหนึ่งในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ปกติแล้วคนที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้จะต้องเป็นองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นมาแต่ต้น หรือได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแทนที่กรณีสุดวิสัย แต่อำนาจในการตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งเป็นอำนาจเพิ่มเติมที่รัฐธรรมนูญสายยุติธรรมกำหนดมาให้หัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษา หรือประธานศาล แม้จะไม่ได้นั่งพิจารณาเองแต่ในฐานะที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูศาล ก็สามารถตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งไว้ได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีที่สมควรต้องทำความเห็นแย้งไว้

ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัด ปกติจะมี 2 คน และต้องเป็นคนละองค์คณะกับผู้พากษาศาลอุทธรณ์ ที่จะมี 3 คน โดยองค์คณะศาลอุทธรณ์จะเป็นผู้พิพากษาที่ทำงานในชั้นอุทธรณ์ และได้รับการจ่ายสำนวน การมอบหมายจากประธานศาลอุทธรณ์

โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า ส่วนความเห็นแย้งของอธิบดีศาลและหัวหน้าศาล มีความสงสัยตามสมควร จึงเห็นควรยกประโยชน์ให้จำเลย ตรงนี้จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์หรือไม่ ระบุว่า คงไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรง เพราะความเห็นแย้ง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นความเห็นแย้งของเสียงข้างมากในคดีนั้น ดังนั้นผลของคำพิพากษาตัวคำความเห็นแย้งตรงนี้ไม่ได้มีผลในการเปลี่ยนแปลงของคำพิพากษาโดยตรง เพียงแต่เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาในชั้นสูงขึ้นไป และเรื่องการยกประโยชน์แห่งความสงสัยเป็นเงื่อนไขปกติในกฎหมาย ซึ่งในคดีอาญาหลายคดีก็ต้องพิจารณาอยู่แล้วว่าพยานหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์นำสืบมา มีเหตุทำให้วิญญูชนทั่วไปเกิดความสงสัยได้หรือไม่ว่า ตัวจำเลยหรือผู้ต้องหากระทำความผิดจริง ซึ่งพยานหลักฐานเหล่านี้ที่ผู้ทำความเห็นแย้งดูเป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกัน เพียงแต่บางจุดหรือข้อเท็จจริงบางส่วน อาจจะมีมุมมองที่เห็นต่างกันได้ แต่ในการวินิจฉัยมีหลักอยู่แล้วตามเงื่อนไขของกฎหมาย หากมีเหตุสงสัยสามารถยกประโยชน์ให้จำเลยได้

พร้อมระบุว่า การเห็นแย้งของหัวหน้าศาลและอธิบดีศาล เคยเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ และก่อนหน้านี้ในศาลใหญ่ๆ ก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายๆกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องของการตรวจสำนวนตั้งข้อสังเกตไว้ชั้นสำนวนปกติ ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่ผิดปกติไป ที่ผ่านมาจะเห็นบางคดีที่มีการอุทรณ์หรือฎีกาขึ้นไป คำพิพากษาของศาลชั้นสูงก็อาจแตกต่างไป อาจจะกลับหรือแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ เพราะแม้พยานหลักฐานชุดเดียวกัน แต่อาจจะมีความเห็นหรือมุมมองที่ต่างกันได้ ผู้พิพากษาแต่ละท่านก็จะใช้ประสบการณ์ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวมาดูแต่ละคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน

คุณอาจสนใจ

Related News