อาชญากรรม

บุกช่วยเด็ก 1 ขวบถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายบีบคอ ถ่ายคลิปให้อดีตเมีย อ้างแค่การแสดง ทำไปเพราะประชด

โดย petchpawee_k

25 ต.ค. 2566

198 views

วันบุกช่วยเด็ก 1 ขวบ ถูกพ่อแท้ๆ ตบหน้าหลายครั้งเอาเท้าเหยียบคอ-หน้าอก-บีบคอถ่ายคลิปให้อดีตเมียดูบังคับให้กลับไปคืนดี เจ้าตัวอ้าง “ทำไปเพราะประชดไม่ได้ลงมือรุนแรงแค่การแสดง” อดีตเมีย เผย อดีตผัวอารมณ์ร้อนไม่กล้าเข้าไปช่วยลูกขู่จะเอามีดแทง


วานนี้ (24 ต.ค.) เวลา 10.00 น.นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมด้วยตำรวจ สน.หัวหมาก และเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) บุกเข้าช่วยเด็กชายวัย 1 ขวบ หลังผู้เป็นแม่ร้องขอความช่วยเหลือ ว่าลูกถูกพ่อแท้ๆ ทำร้ายร่างกายตบหน้าหลายครั้ง เอาเท้าเหยียบคอ หน้าอก บีบคอจนเด็กหยุดร้อง และถ่ายคลิปให้อดีตภรรยาดูเพื่อบังคับให้กลับไปคืนดี เด็กเกือบขาดอากาศหายใจ


แม่ของเด็ก อายุ 32 ปี ให้ข้อมูลว่า ตนเองไม่กล้าเข้าไปเพราะอดีตสามีมีอาวุธปืน เกรงว่าหากเข้าไปจะเป็นอันตรายและไม่สามารถช่วยเหลือลูกออกมาได้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับอันตรายทั้งแม่และลูก สำหรับแม่เด็กหลังเลิกรากับอดีตสามีไปแล้วได้นำลูกไปอยู่ด้วย แต่อดีตสามีก็ไปแย่งลูกกลับมา


ทั้งนี้ อดีตสามีเป็นคนอารมณ์ร้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม่ของเด็กมั่นใจว่าในโทรศัพท์มือถือของอดีตสามีน่าจะมีคลิปวิดีโอทำร้ายลูกอยู่ด้วยหลายคลิป แต่แม่เด็กสามารถบันทึกได้เพียงหนึ่งคลิปเท่านั้น เพราะอดีตสามีจะกดยกเลิกข้อความทันทีหลังส่งให้


แม่ของเด็กให้ปากคำกับตำรวจนานกว่า 4 ชั่วโมง เผยว่า ตนคบกับอดีตได้ประมาณ 2 ปี เพิ่งขอแยกทางกันช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้นอดีตสามีก็ทำร้ายลูกและส่งคลิปวิดีโอให้ตนดูถึง 2 ครั้ง ส่วนเหตุผลที่ลงมือทำร้ายลูกเพราะประชด ต้องการให้ตนกลับไปอยู่ด้วย กลับไปเลี้ยงลูก แต่ตนไม่อยากกลับไปแล้วเพราะอดีตสามีเป็นคนอารมณ์ร้อน อารมณ์รุนแรง


ตอนอยู่ด้วยกันก็เคยทำร้ายร่างกายตนมาก่อน ทั้งเตะ ขู่จะเอาปืนมายิงและขู่จะเอามีดมาแทง ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้เอาลูกไปอยู่ด้วยเพราะอดีตสามีล็อกหน้าต่างประตูไว้ จึงเอาลูกไปอยู่ด้วยไม่ได้ แต่หลังจากนี้ตนจะเอาลูกไปเลี้ยงเอง แต่ก็ยอมรับว่ายังหวาดกลัวอดีตสามีอยู่

โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าค้นแคมป์คนงานในซอยศรีนครินทร์ 8 กลับพบว่าพ่อของเด็กอาศัยอยู่ในห้องพัก ซึ่งสร้างจากตู้คอนเทนเนอร์ และไม่ยอมเปิดประตูออกมา ทำให้ต้องเจรจากับพี่ชายของผู้ก่อเหตุ เพื่อให้ออกมาพูดคุยกันแต่โดยดี แต่เมื่อเปิดเข้าไปดูภายในห้องพัก ไม่พบตัวอยู่ในห้องพักรวมถึงเด็กด้วย เจอเพียงกระเป๋าเงินที่วางอยู่ภายในห้องพัก 30,000 กว่าบาท คาดว่าพ่อของเด็กได้อุ้มลูกชายกระโดดหนีออกทางหลังแคมป์หรือไม่

ผู้สื่อข่าวได้คุยกับแอดมินของแคมป์ดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า ไม่เห็นเด็กคนดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว แต่ยังเห็นผู้ก่อเหตุออกมาทำงานตามปกติ ส่วนข้อมูลอื่นๆ ตนเองไม่ทราบ


 ขณะเดียวกันนั้นหัวหน้าคนงานภายในแคมป์ ได้ออกมาไล่ผู้สื่อข่าวและทีมงานกันจอมพลัง โดยอ้างว่า การเข้าค้นไม่ถูกต้อง ไม่มีการประสานกับทางบริษัทมาล่วงหน้าแต่อย่างใด ซึ่งอาจจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับแคมป์ได้  


ต่อมาจากการตรวจค้นประมาณ 20 นาที พบว่าพ่อของเด็กไม่ได้หนีออกทางกำแพงด้านหลังแคมป์คนงานปรากฎว่าพ่อของเด็กทราบว่านายวิชิต (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นผู้ดูแลแคมป์พักคนงาน ไม่ได้อุ้มลูกหลบหนีออกจากแคมป์ แต่อุ้มลูกไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักคนงานห้องอื่น ก่อนที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ พม.จะแยกตัวเด็กออกมา และเชิญตัวพ่อเด็กมาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ระหว่างที่ตำรวจนำตัวนายวิชิต ออกมา ผู้สื่อข่าวพยายามถามนายวิชิต ว่าทำไมถึงทำรุนแรงกับเด็ก นายวิชิต บอกว่า “ตนไม่ได้ทำร้ายเด็กและไม่ได้ลงมือรุนแรง ภาพที่เห็นเป็นเพียงแค่การแสดง ทำไปเพราะต้องการประชดอดีตภรรยา อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกัน มานั่งคุยกัน”


ยอมรับว่าตนกับภรรยามีปัญหาระหองระแหงกันมาตลอด ทุกครั้งที่มีปัญหาอดีตภรรยาก็จะอุ้มลูกหนีไป ตนก็ไปตามกลับมาทุกครั้ง จึงอยากถามกลับว่าตนเองทำอะไรผิด ทั้งที่ตัวเองเป็นคนหาเงินและเลี้ยงดูทุกอย่างและให้ทุกอย่าง หลังจากนั้นตำรวจจึงนำตัวนายวิชิต ไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สน.หัวหมาก


ด้านนายมนตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี พี่ชายของนายวิชิต เผยว่า ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นน้องชายทำร้ายลูกเขารักลูก ส่วนปัญหาอะไรครอบครัวตนไม่ทราบ ซึ่งตนได้บอกน้องชายกับภรรยาของเขาว่าถ้าอยู่ด้วยกันขอให้อยู่ด้วยกันดีๆ อย่าทะเลาะกัน ห้องของตนอยู่ติดกับห้องพักของน้องชายไม่เคยเห็นทำร้ายร่างกายลูกเลย รับประกันได้


ตนมองว่าหากเป็นการทำร้ายลูกเพื่อประชดก็ไม่น่าจะไปทำกับลูก “ขนาดหมามันยังรักลูกเลย นี่เราเป็นพ่อ” ตนก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็เพิ่งเห็นคลิป สงสารหลาน ไม่คิดว่าน้องชายจะทำกับลูกตัวเองแบบนี้ เห็นแล้วก็ตกใจ ที่ผ่านมาครอบครัวของน้องชายก็อยู่ด้วยกันปกติ


ยืนยันไม่เคยเห็นทำร้ายเด็ก แต่ได้ยินเสียงร้องไห้บ้าง และเคยได้ยินเสียงน้องชายทะเลาะกับภรรยาบ้าง ตนเองก็เข้าไปห้ามปราม ส่วนที่ภรรยาของน้องชายหนีไปนั้นตนไม่ทราบ ที่ผ่านมาก็คิดว่าน้องชายกับภรรยารักกันดีน่าจะอยู่ด้วยกันได้ แต่พักหลังก็เห็นภรรยาของน้องชายหนีไปบ่อยครั้ง บางครั้งก็อุ้มลูกหนีไปด้วย ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกัน ทั้งคู่เพิ่งเลิกกันได้ประมาณเดือนกว่า ส่วนเรื่องอาวุธปืนตนเองไม่ทราบ


ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำที่รุนแรงของน้องชายนั้น ตนเองพูดไปก็เหมือนน้ำท่วมปาก ทุกคนก็คงมองออก แต่ตนเองก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะสงสารหลาน ถ้าจะทำไปเพราะประชดก็อย่าทำแบบนี้ ส่วนเรื่องดื่มสุราหรือใช้ยาเสพติดหรือไม่นั้นตนเองไม่รู้ ยืนยันไม่ปกป้องน้องชาย

ต่อมา ‘กัน จอมพลัง’ เปิดเผยว่า ตอนนี้เด็กปลอดภัยดีและพ่อเด็กเขาหลบซ่อนแอบกับเด็กในห้องของคนงานคนอื่น ยอมรับว่าระหว่างที่เข้าไปนั้นในตอนต้นค่อนข้างชุลมุนมาก จะเห็นว่าผู้ชายออกมามีอารมณ์โวยวายก่อนหน้านั้น ตนคุยกับเขาแล้วเขาก็อนุญาตให้ตนเข้าไปข้างใน แต่ภายในเมื่อทราบก็ให้ความสะดวกกับเจ้าหน้าที่


ซึ่งช่วงที่ค้นในหาไม่พบใครในตอนต้นก็คิดว่า และตัวพ่อเด็กและเด็กหายตัวไปพร้อมกัน คิดว่าจะหนีไปแล้วจนกระทั่ง กก.ดส.ช่วยติดตาม ประสานหน่วยงานต่างๆ    


โดยระหว่างนั้นตนเองสอบถามพี่ชายของนายวิชิต พี่ชายของเขาก็เลยรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ เห็นคลิปแล้วร้องไห้ ไม่คิดว่าน้องชายจะทำกับหลานเช่นนั้น จึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้โทรหานายวิชิต


จนกระทั่งตนเองได้โทรศัพท์พูดคุยกับพ่อของเด็ก โดยพ่อของเด็กนั้นได้บอกว่า พ่อเด็กเป็นเอฟซีของตนเองติดตามมาตลอด แต่พอมาเกิดเหตุนี้รู้ว่าเป็นเรื่องของตนเองจึงตกใจแล้วไปแอบอยู่อีกที่นึงภายในแคมป์คนงาน ตนเองจึงสอบถามเพียงแค่ว่าน้องปลอดภัยดีหรือไม่ โดยพ่อเด็กก็บอกว่าลูกปลอดภัยและอยู่ด้วยกัน ตนเองจึงขอเพียงให้ได้รับตัวเด็กออกมาและออกมาพูดคุยกัน กระทั่งทางด้านพ่อเด็กยอมออกมาพูดคุยกับตนเองและตำรวจ


ด้านนางสาวกุลจิรา โฉมไสว หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร เผยว่า หลังจากนี้จะรับเด็กไปดูแลก่อน เพื่อประเมินสภาพความพร้อมของแม่เด็กว่ามีความพร้อมที่จะนำลูกกลับไปดูแลหรือไม่ เบื้องต้นจากการตรวจร่างกายเด็กไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยฟกช้ำบนร่างกาย แต่ก็จะต้องส่งตรวจร่างกายโดยละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาล


ส่วนเรื่องคดีความเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายวิชิต ในข้อหา “ทำร้ายร่างกายให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ” ส่วนข้อหาอื่นยังอยู่ระหว่างสอบปากคำเพิ่มเติม หากพบว่ามีมีความผิดก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม


ทีมข่าวตรวจสอบเฟซบุ๊กของพ่อเด็ก พบว่ามักจะลงภาพถ่ายคู่กับลูกในเฟซบุ๊ก ลักษณะเหมือนรักและเป็นลูก รักครอบครัวมาก แต่ลับหลังมีพฤติกรรมทำร้ายลูก บางโพสต์ดูแลลูกตอนเป็นไข้พาไปฉีดยาและพาไปโรงพยาบาล /และโพสต์เอานมให้ลูกดื่มพร้อมระบุว่า “ดูแลกันไปสองพ่อลูก”


2 ก.ย.66 นายวิชิต โพสต์เฟซบุ๊กภาพลูกใส่หน้าหน้ากากออกซิเจน พร้อมข้อความ “บางคนมีแต่ความสุขส่วนกูต้องแบกรับทุกอย่างมีแต่ความ แต่ก็ไม่เป็นไรกูจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเลี้ยงลูกได้ให้กูทิ้งลูกกูยิ่งตัวตายดีกว่า”


 2 ต.ค.66 นายวิชิต โพสต์ภาพลูกชาย พร้อมข้อความ “หวานเอ้ยอยู่ไสกลับมาเถอะบ่สงสารลูกบ่สงสารกูคือหนีไปเป็นหยังคือเป็นแบบนี้”

8 ต.ค.66 นายวิชิต โพสต์ภาพลูกชาย พร้อมข้อความ “ผมไม่รู้หรอกว่าใจคุณทำด้วยอะไรคุณพูดแล้วว่าไม่เอาแล้วลูก แสดงว่าคุณก็ไม่ใช่แม่มันอีกต่อไปไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจะดูแลเองเพราะยังไงก็ลูกผมผมทิ้งไม่ได้หรอกขอบคุณที่ทำให้มันเกิดมาจากนี้ไปก็ต่างคนต่างไปเติบโตบนทางของตัวเอง”


 ล่าสุด 24 ต.ค.66 นายวิชิต โพสต์ภาพลูกชายไม่สบายนอนหลับ พร้อมข้อความ “ไหนล่ะไอ้พวกที่บอกว่าหลานกูหลานกูหายหัวไปไหนกันหมด คือบ่เห็นทักมาถามแน่ว่าหลานมึงเป็นจังได๋แน เพราะฉะนั้นไม่ต้องปากดีทำเป็นว่าห่วงหลวงห่วงหลาน กูบ่เคยเห็นผุใดทักมา


หรือโทรมาถามเลยสักคน มีแต่กูดิ้นรนอยู่คนเดียวหาอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นอย่าเสือกทำเป็นพูดแล้ว กูก็บ่เคยร้องขอหยังจากทางมึงสักอย่าง เข้าใจตรงกันนะอย่าเสือก #กูพาลูกกูไปหาหมอแต่ละที่หมดทีละ 2,000 -3,000 กูก็ไม่เคยร้องขอจากพวกมึงสักอย่าง”


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/H_s4M5bL8nI


คุณอาจสนใจ

Related News