อาชญากรรม
เกลื่อนโลกออนไลน์ 'แบลงก์กัน' ซื้อง่าย ขายคล่อง 'เศรษฐา-บิ๊กต่อ' จ่อคุมเข้ม หลังพบ กม.มีช่องโหว่เพียบ
5 ต.ค. 2566
1.3K views
วานนี้ (4 ต.ค. 66) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้ทราบถึงมูลเหตุของเด็กอายุ 14 ปี ที่ก่อเหตุกราดยิงภายในศูนย์การค้าสยามพารากอน จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 5 ราย ว่าเกิดจากอาการป่วยทางจิตเวช หรือ ภาวะความกดดันจากครอบครัว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมกันประเมินอีกครั้ง
พร้อมฝากถึงผู้ปกครองต้องหมั่นสังเกตบุตรหลาน ถึงการเล่นเกมรุนแรง ต้องมีความระมัดระวัง ซึ่งจากการสอบปากคำพ่อแม่ น่าตกใจที่ไม่ทราบรายละเอียดของลูก และไม่เคยรู้มาก่อนว่า ลูกมีการสะสมอาวุธและเครื่องกระสุนปืนในห้องนอน
ส่วนกรณี มีการเผยแพร่ภาพและข้อความของผู้ก่อเหตุ ในช่วงก่อนเกิดเหตุ ที่มีความเกี่ยวข้องกับอาวุธปืน ตำรวจจะต้องเชิญเพื่อนมาสอบปากคำ เพื่อหาแรงจูงใจ และสาเหตุที่แท้จริง จึงถือเป็นกรณีศึกษาแนวทางการป้องกันในอนาคต
ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุครั้งนี้ ยืนยันว่า เป็นปืนแบลงค์กัน (BLANK GUN) หรือปืนเสียงเปล่า ไม่ใช่อาวุธปืนจริง ซึ่งมีการซื้อขายในสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก โดยไม่ผิดกฎหมาย ทำให้มีการนำมาดัดแปลงแม็กกาซีน หรือลำกล้องปืน เพื่อนำมาใช้กับกระสุนจริง และทำให้สามารถใช้เป็นอาวุธปืนจริง โดยส่วนตัวจะประสานกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้พิจารณาปรับแก้ข้อกฎหมาย ให้ปืนแบลงค์กัน ผิดกฎหมายในอนาคต
-------------
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เปิดเผยภายหลังจากการพูดคุยกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เดินทางมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า
ในเรื่องคดีผู้กระทำความผิดมีสถานะเป็นเด็ก จึงขอให้ทุกฝ่ายให้ความระมัดระวังในการนำเสนอข่าวใด ๆ ซึ่งขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสอบสวนอยู่ ผู้ก่อเหตุเอง ล่าสุด ได้รับรายงานว่า ยังไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะให้ปากคำได้
ในส่วนของประเด็นที่นายกฯเดินทางมา ท่านขอให้ตำรวจยกระดับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับอาวุธปืน ซึ่งเรื่องนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการมาโดยตลอด อ้างอิงจากสถิติการกวาดล้างอาวุธปืนเมื่อประมาณสองเดือนก่อนหน้านี้ ตำรวจได้ดำเนินการตรวจสอบเข้าค้นที่หมายกว่า 100 แห่ง เข้าจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 2,000 คดี ได้ปืนของกลางกว่า 900 กระบอก ซึ่งตนได้กำชับให้ตำรวจจับกุมปืนของจริง
ทั้งนี้ จากสถิติที่ พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่รายงานมาถึงตนเมื่อวานนี้ (3 ต.ค. 66) ปืนที่เป็นปืนจริงไม่ได้ออกมากระทำความผิดเลย ปืนที่นักเรียนส่วนมากใช้ก่อเหตุจะเป็นปืนชนิดแบลงค์ กัน(blank gun) ตรงกับที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.) รายงานว่า สถิติการใช้ปืนแบลงค์ กันสูงมาก
แต่ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ขณะนี้ มันไม่มีกฎหมายใดที่ไปบังคับการนำเข้าผ่านทางกรมศุลกากร คนขายขออนุญาตขาย คนซื้อไม่ต้องมีใบอนุญาต นี่คือช่องว่างของกฎหมาย จากนั้น คนซื้อนำไปดัดแปลง
อย่างกรณีเมื่อวานนี้ที่เกิดขึ้น ผู้ก่อเหตุเองก็ใช้ปืนแบงค์ กัน ที่ผ่านการดัดแปลงทำตามช่องทางยูทูบ ในขั้นแรกตนได้สั่งการให้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เฝ้าเจาะเว็บไซต์พวกนี้ให้ได้ ตั้งเป็นทีมเฉพาะในการคุมเว็บไซต์ที่ขายปืนเถื่อนทางออนไลน์
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของข้อกฎหมายเราประสานกับกรมการปกครองเพื่อไม่ให้สิ่งที่จะทำให้ปืนแบงค์ กันเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ ให้ตีของดัดแปลงลักษณะนี้เป็นอาวุธไปเลย เรายกระดับข้อกฎหมายนี้ไม่ให้นำเข้ามาโดยวิธีใด ไม่ให้สิ่งนี้หลุดเข้ามาในระบบในท้องตลาด เรื่องนี้ยืนยันว่าเราดำเนินการอยู่ไม่ใช่แค่จับกุมแต่เราจะต้องยกระดับข้อกฎหมายเรื่องการนำเข้า
-------------
วานนี้ (4 ต.ค. 66) เวลา 14.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพบการ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นการเดินทางมาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และใช้เวลาหารือกันไม่ถึง 10 นาที
ภายหลังหารือนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่า มีเรื่องคุย 3 เรื่อง
โดยเรื่องแรกที่ตนมาคุยคือ มาขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ได้ออกปฏิบัติการได้อย่างเฉียบขาดทันควันในแง่ของการจับกุมผู้กระทำความผิด และในเรื่องการที่จะค้นหาญาติของคนจีน ที่กระจัดกระจายไปตอนช่วงชุลมุน ซึ่งก็ได้ติดตามมาได้ในเวลา 22.00 น. กว่า ซึ่งตนก็ได้โทรบอกเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยด้วยว่าเจอแล้ว เพื่อทำให้ทางสถานทูตจีนได้คลายความกังวลว่า เราได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ส่วนเรื่องที่สอง ได้พูดคุยว่าทางตำรวจต้องมีมาตรการในการยกระดับของกฏหมายในการครอบครองปืนหรือความง่ายในการเข้าถึงอาวุธปืน อันนี้ตนต้องขออนุญาตให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้แถลงต่อ
เรื่องที่สามได้พูดคุยว่าตอนนี้เป็นหน้าที่ในฐานะที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งดูแลกรมศุลกากรจะต้องเข้มงวดในการนำเข้าปืน ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ถือเป็นช่องโหว่อันหนึ่งที่สามารถนำปืนนอกเข้ามาได้
-------------
ขณะที่ ทางด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เปิดเผยภายหลังจากการพูดคุยกับนายเศรษฐา ว่า
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของข้อกฎหมายเราประสานกับกรมการปกครองเพื่อไม่ให้ปืนแบงค์กันเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ ให้ตีของดัดแปลงลักษณะนี้เป็นอาวุธไปเลย เรายกระดับข้อกฎหมายนี้เพื่อไม่ให้สิ่งนี้หลุดเข้ามาในระบบในท้องตลาด เรื่องนี้ยืนยันว่าเราดำเนินการอยู่ไม่ใช่แค่จับกุมแต่เราจะต้องยกระดับข้อกฎหมายเรื่องการนำเข้า
-------------
เมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 66) ในโลกออนไลน์ อย่างเพจ 'เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน' ได้โพสต์ภาพ แอปพลิเคชั่นจำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่ได้ยิงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก เป็นภาพปืน และเครื่องกระสุน
โพสต์ดังกล่าวมีข้อความระบุ "เข้าเฟส เจอโฆษณาขึ้นมาเลย และอาวุธก่อเหตุ และอื่นๆ ส่วนมากก็สั่งจากช่องทางออนไลน์.
ก็มันเข้าถึง โคตรง่าย แค่เราพูดถึง > อัลกอฯ เก็บข้อมูล > หาสินค้ามานำเสนอเรา > เราแค่กดสั่ง และ ชำระเงิน ก็ได้รับอาวุธ 1 EA
นี่เกม หรือ โลกของจริง
#ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส"
-------------
ส่วนอีกรายเป็นผู้ใช้ทวิตเตอร์ ชื่อ @Marxist boyy ก็ได้ทวิตภาพ โฆษณาในเฟซบุ๊กจากแอปพลิเคชั่นเดียวกัน โดยมีข้อความระบุ "เมื่อวานเกิดเหตุกราดยิง วันนี้ Iazada ส่งโฆษณาอะไร"
-------------
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวตรวจสอบไปยังแอพดังกล่าวโดยลองค้นหาสินค้า พิมพ์คำว่า “ปืน แบลงค์ กัน” และ “Blank guns” ล่าสุดไม่พบการขายอาวุธปืนดังกล่าวแล้ว พบแต่อุปกรณืที่เดี่ยวข้องเช่น ซองใส่ปืน หรือน้ำยาล้างปืนเป็นต้น
-------------
เมื่อวานนี้ (4 ต.ค. 66) พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. กล่าวว่า ในห้วงที่ผ่านมามีการกระทำความผิด และใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุอยู่บ่อยครั้ง ก่อให้เกิดความสูญเสีย และความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อบูรณาการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนพร้อมกันทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมา ได้ระดมกวาดล้างจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน พบว่า แม้มีการจับกุมได้ต่อเนื่อง แต่ยังพบว่ามีการซื้อขายอาวุธปืนทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการซื้อขายในออนไลน์ อีกทั้งพบมีการดัดแปลงอาวุธปืนมาจำหน่าย ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้มีข้อสั่งการมายัง พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ดำเนินการเรื่องดังกล่าวแล้ว
พล.ต.ต.อำนาจกล่าวอีกว่า โดย ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ทุก บก.ในสังกัด หาข่าว มุ่งเน้นเพื่อตรวจค้น จับกุม กลุ่มคนที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนผิดกฎหมายทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ทั้ง On Ground และผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันพบว่าอาชญากรรมส่วนใหญ่ที่พบ เป็นอาวุธปืนเถื่อนไม่ว่าเป็นอาวุธปืน blank Gun ที่ถูกนำมาดัดแปลงใช้ยิงกระสุนจริงได้ ซึ่งหลังจากนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อกวาดล้างครัังใหญ่ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมา ตำรวจไซเบอร์เปิดยุทธการ CyberCop cracked down on Online Scammers ตรวจยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนจำนวนมาก ที่น่าสนใจคือการตรวจยึดแบลงก์ กันได้กว่า 2,000 กระบอก กระสุนปืนกว่าแสนนัด หลังพบการซื้อขายออนไลน์ผ่านหน้าเว็บไซต์และส่งสินค้าผ่านเอกชน
โดยการแถลงข่าวครั้งนั้น กองพิสูจน์หลักฐานออกมายืนยัน ปืนแบลงค์ กัน หากนำมาดัดแปลงให้ขับกระสุนออกได้ ก็มีสภาพเทียบเท่าอาวุธปืนจริง เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย อีกทั้งหากมีการดัดแปลงเมื่อยิงกระสุนแบลงก์ กัน แรงดันที่เกิดขึ้นดันกระสุนจำลองพุ่งใส่ร่างจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ตอกย้ำอานุภาพของแบลงก์ กัน อันตรายเกินกว่าจะเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืน
สำหรับประเด็นเรื่องปืนแบลงก์ กันนั้น เคยเป็นข้อถกเถียงระหว่างทางตำรวจกับกรมการปกครองในการตีความว่าเป็นอาวุธหรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายหน่วยงานที่ทดสอบปืนชนิดนี้แล้วว่าถ้ากระสุนเข้าจุดสำคัญของร่างกายมีขีดความสามารถทำอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งเคยออกมาให้ข้อมูลในการตีความว่าเป็นอาวุธ
แต่ทางเจ้าหน้าที่ของกรมการปกครองได้โต้แย้งว่าไม่ใช่อาวุธและยืนยันว่าเป็นแค่สิ่งเทียมอาวุธปืน ทำให้ปืนแบลงก์ กัน มีผู้นำเข้าและมีการโพสต์ขายกันเกลื่อนในช่องทางออนไลน์หลายแพลตฟอร์ม จึงทำให้ซื้อหาเพื่อนำมาใช้ได้อย่างง่าย ก่อนนำมาดัดแปลงลำกล้องและชุดลั่นไกสามารถใส่กระสุนจริงได้ จนนำมาสู่การก่อเหตุรุนแรงด้วยปืนชนิดนี้
ทั้งนี้ มีรายงานข้อมูลสถิติจากเว็บไซต์ World population review ระบุข้อมูลที่น่าตกใจว่า พลเรือนคนไทยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง มากถึง 10.3 ล้านกระบอก คิดเป็นสัดส่วน 15.41% ของประชากรไทย 66,090,000 คน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีการครอบครองปืนมากที่สุดในอาเซียน และอยู่ในอันดับที่ 20 ของโลก
มีรายงานว่า ข้อมูลจากองค์กรที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธปืนขนาดเล็ก (Small Arms Survey) หรือ SAS ของสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า หากดูสถิติประเทศที่พลเรือนครอบครองปืนสูงสุด อันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกา ประมาณ 393.3 ล้านกระบอก, อันดับ 2 อินเดีย ประมาณ 71.1 ล้านกระบอก, อันดับ 3 จีน ประมาณ 49.7 ล้านกระบอก
ขณะที่ ประชาชนไทยครอบครองอาวุธปืนขนาดเล็กในปี 2017 เป็นอันดับ 13 ของโลก หากนับประชากรในอาเซียน 647 ล้านคน ประชากรของไทย 68 ล้านคน มีอาวุธปืนที่อยู่ในการครอบครองของพลเรือนมีถึง 10,342,000 กระบอก นับเป็นประเทศที่ครอบครองปืนสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือคิดเป็นอาวุธปืนขนาดเล็ก 15 กระบอกต่อประชากร 100 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร
-------------
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/3hhWMsUky-0