อาชญากรรม

ตั้งค่าหัวครึ่งแสน ล่า ด.ต.คลั่งกราดยิงยกครัว แชทบอกญาติ ไม่ขอมอบตัว ลั่นไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

โดย nattachat_c

12 เม.ย. 2566

52 views

ตั้งค่าหัวครึ่งแสน ล่าตัวดาบตำรวจอรรถพร ปืนโหดยิงยกครัวดับ 5 ศพ ผู้การสุราษฎร์ เผยมือยิงไลน์หาญาติลั่นไม่มอบตัว เพราะไม่มีอะไรจะเสีย กำชับตำรวจทุกนายระวังตัว เหตุคนร้ายเป็นบุคคลอันตราย พกอาวุธเพียบ มานพ มือปืนที่ถูกจับ รับไม่ได้ตั้งใจทำ ถูกดาบตำรวจชวนมา เข้าใจว่า ไปเป็นสายยาเสพติด ญาติคนตาย ชี้ชนวนเหตุสังหารจากความขัดแย้งเรื่อง ที่ดิน พ่อตาโกงที่ พอดาบฯทวงถามก็ถูกด่าทอ ไล่ออกจากบ้าน


จากกรณีเหตุสลดและเหตุสะเทือนขวัญ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวัน 8 เมษายน 2566


เมื่อ ด.ต.อรรถพร วิเชียร อายุ 46 ปี ผบ.หมู่ งานป้องกันปราบปราม สภ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ได้นำพวกประกอบด้วย

  • นายธรรมรัตน์ วิเชียร อายุ 48 ปี (พี่ชาย)
  • นายมานพ ว่างงาน อายุ 57 ปี (เพื่อนของพี่ชายของ ด.ต.อรรถพร)
  • นายอรรถพล วิเชียร อายุ 22 ปี (ลูกชาย)

ใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม M16 และอาวุธปืนลูกซอง ยิงถล่มบ้านพัก ในสวนปาล์มที่ ต.กะเปา อ.คีรีรัฐนิคม และมีการยิงต่อสู้กันมีผู้เสียชีวิตรวม 4 ศพ คือ

  • นายธรรมรงค์ นิลนิยม อายุ 60 ปี (ผู้ใหญ่รงค์) อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่1
  • นางนิลทิพย์ ปาลคะเชนทร์ อายุ 49 ปี (ภรรยานายธรรมรงค์)
  • นายพรศักดิ์ เพชรชู หรือผู้ใหญ่กรอก อายุ 56 ปี
  • นายธรรมรัตน์ วิเชียร (ทีมก่อเหตุ) อายุ 48 ปี (พี่ชายของ ด.ต.อรรถพร)


ต่อมา วันที่ 10 เมษายน เวลา 09.10 น. ตำรวจ สภ.คีรีรัฐนิคม รับแจ้งพบผู้เสียชีวิต 1 ราย ภายในห้องพัก รีสอร์ทแห่งหนึ่ง พบว่า ผู้เสียชีวิตคือ น.ส.พนิดา นิลนิยม (บุตรสาวของผู้ใหญ่รงค์) (ภรรยาของด.ต.อรรถพร) ถูกยิงเสียชีวิตเข้าที่ปาก หัวกระสุนฝังในบริเวณใต้คาง คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 วัน (วันที่ 7 เมษายน 2566) คาดว่าดาบตำรวจจะยิง น.ส.พนิดา โดยใช้หมอนเป็นตัวลดเสียง


ทั้งนี้ ในวันที่ 9 เมษายน 2566 เวลาประมาณ 21.00 น.พระสงฆ์วัดไกรสรเขตราราม ได้พบผู้เสียชีวิตในรถเก๋ง ฮอนด้า ซึ่งเป็นคันที่ตำรวจสกัดจับเนื่องจากเป็นรถคันก่อเหตุ พบศพนายบาส อายุประมาณ 22 ปี เป็นลูกชายด.ต. กับภรรยาคนแรก นั่งที่เบาะซ้ายข้างคนขับในสภาพนอนเอนถูกคลุมห่มด้วยผ้าขาวม้าลายขาวดำ ที่ข้อมือทั้งสองข้างถูกมัดติดกันด้วยสายสิญจ์ คล้ายกันการมัดตราสังข์  มีบาดแผลถูกยิงที่บริเวณขมับขวา


มีพยานที่ให้ข้อมูลว่า ช่วงเวลา 3 ทุ่มได้มีชายปริศนาเดินลงมายังศาลาที่จัดงานศพ  แล้วบอกญาติในงานว่า ฝากจัดงานศพให้หลานด้วย พร้อมทั้งบอกว่าหลานอยู่ในรถ ชาวบ้านจึงได้ขึ้นไปดู ก่อนชายคนดังกล่าวจะอาศัยช่วงคนแตกตื่นหนีหายไป ซึ่งคาดว่าเป็น ด.ต.อรรถพร ผู้ก่อเหตุ


ต่อมา วันที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น. ชุดปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้จับกุมตัวนายมานพ ว่างงาน อายุ 57 ปี ชาว อ.คีรีรัฐนิคม 1 ในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับได้ที่บ้านหลังหนึ่งใน อ.ทับปุด จ.พังงา และรีบควบคุมตัวกลับมาที่ สภ.คีรีรัฐนิคม โดยมี พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ร่วมประชุมติดตามคดีกับคณะทำงาน


จากการสอบสวนนายมานพอ้างว่าไม่ทราบว่าดาบตำรวจอรรถพรจะชวนไปก่อเหตุดังกล่าว ที่ไปด้วยคิดว่าจะพาไปเป็นสายยาเสพติด ซึ่งหลังก่อเหตุบุกยิงถล่มบ้านนายธรรมรงค์ แล้ว ด.ต.อรรถพร พร้อมลูกชายได้ขับรถเก๋งโตโยต้า รุ่นวีออส (รถเช่า) ไปส่งตนที่บ้านพัก ต.เขาพัง อ.บ้านตาขุน และตนรีบหลบหนีออกจากพื้นที่ทันที ขณะที่สังเกตเห็นว่า ด.ต.อรรถพร มีพฤติกรรมแปลกๆ คล้ายคนคุมสติไม่ได้ ตนยอมว่าหวาดกลัวเป็นอย่างมากจึงต้องรีบหนี และคาดว่าจะเป็นคนยิงลูกชาย

-------------

วานนี้ (11 เม.ย. 66) เวลา 15.10 น. พ.ต.อ.ไพศาล สังข์เทพ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี และกำลังเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบพร้อมอาวุธครบมือ ได้ควบคุมตัวนายมานพ ผู้ต้องหาสวมเสื้อเกราะและหมวกกันน็อก เดินทางไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ


จุดแรก

ไปยังลีลาวดีรีสอร์ท ต.ท่าขนอน อ.คีรีรัฐนิคม เป็นจุดรวมตัวของกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คน ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีซึ่งวันเกิดเหตุนายอรรถพล หรือบาส เป็นคนขับรถเก๋งโตโยต้าวีออสพาทั้งหมดไปก่อเหตุ


จุดที่ 2

สถานที่เกิดเหตุบ้านพักของนายธรรมรงค์ หรือ ผู้ใหญ่รงค์ ในสวนปาล์ม หมู่ที่ 8 ต. กะเปา อ.คีรีรัฐนิคม ซึ่งจุดนี้ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธวางแนวกันพื้นที่ไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ที่เกิดเหตุ


เมื่อมาถึงที่รั้วประตูด้านหน้าห่างจากตัวบ้านประมาณ 40 เมตร นายมานพได้ชี้จุดที่รถเก๋งของกลุ่มผู้ก่อเหตุไปจอดที่หน้ารั้ว จากนั้นนายมานพที่นั่งอยู่เบาะหลัง ได้ลงเดินจากรถไปถามนางนิลทิพย์ ภรรยานายธรรมรงค์ กำลังนอนเล่นอยู่ที่เปลในศาลาหน้าบ้านว่า มีใครอยู่ในบ้านบ้าง ระหว่างนั้น ด.ต.อรรถพร ได้เดินเข้ามา และใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 ลั่นไกยิงใส่นางนิลทิพย์ทันที จนวิ่งไปล้มฟุบข้างโอ่งน้ำเสียชีวิตทันที


ต่อมาผู้ก่อเหตุ 3 คนมี ด.ต.อรรถพร นายธรรมรัตน์ พี่ชาย และนายมานพ ถืออาวุธปืนวิ่งเข้าไปรัวยิงใส่ตัวบ้าน และในบ้านจนเกิดการยิงต่อสู้กัน และนายอรรถพล หรือบาส ลูกชาย ด.ต.อรรถพร เป็นคนขับรถเก๋ง ได้เลี้ยวหัวกลับรถมาจอดรอ หลังพบว่าคนในบ้านทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว และนายธรรมรัตน์ พี่ชาย ด.ต.อรรถพร เสียชีวิตด้วย


เหลือตนกับ ด.ต.อรรถพร 2 คนโดยตนนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ ส่วน ด.ต.อรรถพร นั่งเบาะหลัง รีบออกมาจากที่เกิดเหตุ ตำรวจใช้เวลาทำแผนชี้จุดประมาณ 15 นาที


จุดที่ 3

นายอรรถพล หรือบาส ขับรถไปที่ขุนคีรีรีสอร์ต ต.เขาพัง อ.บ้านตาขุน ทำการสับเปลี่ยนเป็นรถเก๋งฮอนด้า รุ่นซิตี้ ที่ ด.ต.อรรถพร วางแผนนำไปจอดรอไว้ก่อนแล้ว และ ด.ต.อรรถพร ได้นำเอาอาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 ที่ยืมเพื่อนตำรวจมาทิ้งไว้ในห้องพักรีสอร์ต และนายอรรถพลขับรถ มี ด.ต.อรรถพร นั่งมาด้วย มาส่งตนที่บ้านใน ต.เขาพัง แล้วแยกย้ายกัน


เมื่อทราบข่าวว่า ด.ต.อรรถพร ยิงนายบาส ลูกชายเสียชีวิต ทำให้ตนหวาดกลัวจะถูกฆ่าปิดปาก โดยไม่คิดว่าจะกล้าฆ่าลูกได้จึงตั้งใจว่าจะหนีไปอยู่บนเกาะทางฝั่ง จ.พังงา แต่ลูกๆข องตนก็กลัวจะว่าตนจะถูกตามฆ่า ได้โทรศัพท์มาตามให้ตนกลับไปมอบตัว จึงติดต่อผ่านกำนันคนหนึ่งในพื้นที่ข อยอมรับผิด และฝากขอโทษครอบครัวผู้ใหญ่รงค์ด้วย


ตำรวจแจ้งว่า สำหรับนายมานพ มีประวัติเป็นมือปืนรับจ้างระดับพระกาฬในภาคใต้ รู้จักกับนายธรรมรัตน์พี่ชาย ด.ต.อรรถพลในเรือนจำกลางสุราษฎร์ธานี เพิ่งพ้นโทษคดีฆ่าคนตายมาไม่นาน ซึ่งระหว่างทำแผนประกอบคำรับสารภาพมีสีหน้าสลดตื่นกลัว ด้วยคล้ายกลัวถูกตามล่า

------------
วานนี้ (11 เม.ย. 66) พลตำรวจตรี ศรัญญูชำนาญราช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ได้วิทยุด่วนสั่งการให้สถานีตำรวจทุกแห่งตั้งจุดตรวจ จุดสกัดและตรวจสอบเส้นทางการหลบหนีของ ด.ต.อรรถพร วิเชียร หรือดาบอรรถ ให้เป็นไปด้วยความระมัดระวัง เพราะ ด.ต.อรรถพร ถือเป็นบุคคลอันตรายมีอาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 และอาวุธปืนขนาด 9 มม.ติดตัวอยู่


พร้อมประกาศ หากประชาชนทราบเบาะแสแจ้งเจ้าหน้าที่มีรางวัล 50000 บาท พร้อมมอบให้ตำรวจชุดสืบสวนกระจายกำลังหาเบาะแสและลงพื้นที่ต้องสงสัยที่คาดว่า ด.ต.อรรถพร จะใช้เป็นหลบซ่อนตัว เนื่องจากแถบ อ.คีรีรัฐนิคมและ อ.บ้านตาขุน เป็นพื้นที่ป่าเขา ประกอบกับ ด.ต.อรรถพร เป็นคนในพื้นที่จึงมีความชำนาญเส้นทางและพื้นที่มาก
------------
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังก่อเหตุยิงถล่มบ้านนายธรรมรงค์ หรือผู้ใหญ่รงค์ พ่อตา แล้ว ด.ต.อรรถพร ได้ติดต่อส่งข้อความกับญาติทางไลน์ ว่าจะไม่ขอมอบตัว เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

------------

ทั้งนี้ ข้อมูลจากแหล่งข่าว บอกถึงสาเหตุของเหตุกาณ์สะเทือนขวัญนี้ ว่า


เดิมที ผู้ใหญ่รงค์ย้ายถิ่นฐานมา อ.คีรีรัฐนิคม เพื่อทำสวนปาล์ม แต่เพราะเป็นคนต่างพื้นที่ จึงพยายามทำความรู้จักกับตำรวจเพื่อสร้างบารมี จากนั้นจึงได้รู้จักกับ ด.ต.อรรถพร ซึ่งมีลูกเมียอยู่แล้ว แต่ก็ทำความสนิทกันกับ ด.ต.อรรถพร 


จน ด.ต.อรรถพร สามารถเข้ามาอยู่ในบ้านของผู้ใหญ่รงค์ และ ด.ต.อรรถพร ก็ได้กับลูกสาวผู้ใหญ่รงค์ ซึ่งเพิ่งเลิกกับสามี 


ต่อมา ด.ต.อรรถพร ได้ขายที่ดินมรดกได้เงินหลักล้าน แล้วไปกู้เงินสหกรณ์ตำรวจมาลงทุนให้กับผู้ใหญ่รงค์ โดยไปซื้อที่ดินบริเวณหินพัด ต.ท่าขนอน อ.คีรีรัฐนิคม ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ขยายพื้นที่ทำสวน โดย ด.ต.อรรถพร และพี่น้องไปช่วยกันทำสวน ซึ่งคาดว่าเงินที่เหลือผู้ใหญ่รงค์จะคืนให้ แต่ไม่ได้คืน เลยเกิดการระหองระแหง ประกอบกับผู้ใหญ่รงค์มีศัตรู เคยโดนลอบยิงมาแล้วช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้ผู้ใหญ่รงค์เชื่อว่า ด.ต.อรรถพร มีส่วนรู้เห็น จึงไล่ออกจากบ้าน แล้วให้ลูกสาวเลิก


ด้าน ด.ต.อรรถพร รู้ตัวว่า ผู้ใหญ่รงค์จะจ้างมือปืนมาฆ่าตนเอง เลยเป็นที่มาของความโกรธแค้น แล้วสติแตกก่อเหตุขึ้น

-------------

วานนี้ (วันที่ 11 เม.ย.) นางวัชรี วิเชียร หรือ จ๋า ภรรยาคนที่ 1 ของ ด.ต.อรรถพร วิเชียร เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว หลังเกิดเหตุสามี พร้อมพวกก่อเหตุใช้อาวูปืนเอ็ม 16 บุก เข้าไปยิงถล่ม นายธรรมรงค์ นิลนิยม หรือผู้ใหญ่รงค์ ระบุว่า


ก่อนหน้านี้ตนอยู่แต่งงานอยู่กิน กับ ด.ต.อรรถพร มานานกว่า 20 ปี หลังจากที่ตนต้องตกเป็นม่ายเพราะสามีเสียชีวิต โดยขณะนั้นตนมีลูกสาวอายุ 1 ขวบ


วน ด.ต.อรรถพร ก็มีลูกติด คือ นายอรรถพล หรือ บาส และสร้างครอบครัวกันด้วยมา ยอมรับว่าสามีมีนิสัยเจ้าชู้ และมักจะมีผู้หญิงอื่นอยู่เสมอๆ


จนกระทั่งตนกับสามีย้ายมาอยู่ในพื้นที่อำเภอคีรีรัฐนิคม ซึ่งเป็นบ้านเดิมของตน ก็พบว่าสามีได้ไปรู้จักกับผู้ใหญ่รงค์ แต่ตนไม่ได้สนใจ


จนวันหนึ่งผู้ใหญ่รงค์ได้มาหาตนที่บ้าน และบอกว่าอยากได้ ดต.อรรถพร เป็นลูกเขย เพื่อที่จะได้ช่วยกันดูแลที่ดิน และสวนปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่ ต.กะเปา ตอนนั้นตนทราบว่า ลูกสาวของผู้ใหญ่รงค์ ได้แต่งงานอยู่กินกับสามี ซึ่งเป็นชาว ต.น้ำรอบ อ.พุนพิน ซึ่งผู้ใหญ่รงค์อ้างกับตนว่า สามีของลูกสาวเป็นคนนิสัยไม่ดี อยากให้เลิกกัน และต้องการได้ ด.ต.อรรถพร ไปเป็นลูกเขย และพูดจาในลักษณะขอสามีของตนไปเป็นลูกเขย โดยบอกกับตนว่าให้ตนอยู่เฉยๆ และห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยว


โดยในตอนแรกตนบอกไปว่าตนรับไม่ได้ แต่เมื่อได้สอบถามสามี สามีก็ได้ยอมรับว่า ได้ลูกสาวของผู้ใหญ่รงค์เป็นภรรยา และจดทะเบียนสมรสแล้ว ตนจึงทำใจ และไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา สามีดูแลตนและลูก รวมถึงบุคคลในครอบครัวเป็นอย่างดี แต่ ด.ต.อรรถพร ก็ยังไปมาหาสู่และดูแลตน ลูกสาวของตน รวมถึงน้องบาส นายอรรถพล ลูกชายเป็นอย่างดี


ก่อนหน้านี้สามีได้ขายที่ดิน ซึ่งตัดแบ่งจากส่วนที่ตนสร้างที่อยู่อาศัยในปัจจุบันให้กับผู้อื่น ได้เงินมา 2 ล้านกว่าบาท ขายที่ดินซึ่งเป็นสมบัติของสามีได้เงินประมาณ 2 ล้านบาท และไปกู้เงินสหกรณ์ ตำรวจอีก 3 ล้านบาท รวมกว่า 7 ล้านบาท


โดยบอกกับตนว่า จะนำเงินไปลงทุนสร้างส่วนปาล์มน้ำมัน และซื้อที่ดินร่วมกับผู้ใหญ่รงค์ ซึ่งตนก็ไม่ได้ขัดข้อง เพราะเห็นว่าเป็นการซื้อที่ดิน และสร้างสวนปาล์ม เพื่อเป็นรายได้ของครอบครัว


จนกระทั่งก่อนเกิดเหตุ ตั้งแต่ประมาณกลางปี 2565 สามีมักจะมาเล่าให้ฟังว่า เงินที่นำไปลงทุนร่วมกับผู้ใหญ่รงค์ รวมถึงซื้อรถแบ็คโฮ กำลังจะสูญเปล่า และมีทีท่าว่า ผู้ใหญ่รงค์ จะขับไล่ให้สามีออกจากบ้าน


ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เศร้าสลด สามีได้กลับมาที่บ้าน และมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด และบ่นให้ตนฟังว่า สูญสิ้นหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และถูกผู้ใหญ่รงค์หลอก ตอนนั้นตนไม่ได้เอะใจ จนก่อนเกิดเหตุ 2-3 วัน สามีได้กลับมาที่บ้านอีกครั้ง และได้มีการพูดจากับหลานชายซึ่งเป็นลูกของนายอรรถพล ซึ่งตนเลี้ยงดูอยู่ ว่าให้ทำตัวดีๆ อย่าดื้อกับย่า ตอนนั้น ตนรู้สึกเอะใจ และถามกับสามีไปว่าจะไปไหนแต่สามีไม่ตอบ หลังจากนั้นสามีก็ได้ออกจากบ้านไป จนมาทราบว่า สามีได้ไปก่อเหตุดังกล่าว


นางวัชรี กล่าวต่อว่า อยากให้สังคมมองในมุมของเราบ้าง ว่าที่ผ่านมาเราเป็นผู้ถูกกระทำ และที่ผู้ใหญ่รงค์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับครอบครัวเรา เขาหวังผลอะไรหรือเปล่า สามีต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก ให้กับผู้ใหญ่รงค์ มิหนำซ้ำยังถูกผู้ใหญ่รงค์ว่าจ้างมือปืนมาเพื่อฆ่าด้วยซ้ำ


ตนไม่รู้ว่าสาเหตุความขัดแย้ง ระหว่างสามีกับผู้ใหญ่รงค์ มีสาเหตุมาจากเรื่องใด แต่ตอนนี้สงสารสามีเป็นอย่างมาก และอยากให้เข้าใจพวกเราด้วย เชื่อว่าเหตุที่สามีทำลงไปเพราะมีแรงกดดันและความแค้น ตนอยากวิงวอนไปถึงสามี หรือผู้ที่ทราบเบาะแส และติดต่อสามีได้ ว่าอยากจะให้เขาเข้ามอบตัว เพื่อต่อสู้ทางกฎหมาย และยอมรับถึงผลกระทำที่สามีได้ทำไป

-------------

ญาติรายหนึ่งของนางวัชรี เปิดเผยว่า ตนเชื่อว่าผู้ที่ลงมือยิงในอรรถพลหรือน้องบาส ก็คือ ด.ต.อรรถพร เนื่องจากที่ผ่านมา นายอรรถพลมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แม้ว่า ด.ต.อรรถพร จะพยายามแก้ไขปัญหาแต่ทำไม่ได้ โดยขณะนี้นายอรรถพลมีบุตร ที่นำมาให้นางวัชรี ดูแลถึง 3 คน


นอกจากนั้น ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติด จึงเชื่อว่า ด.ต.อรรถพร ตัดสินใจปลิดชีวิตบุตรชาย เพื่อไม่ให้นางวัชรี ต้องรับภาระเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุตรชาย เนื่องจากทราบว่าหากตนเองไม่อยู่ นายอรรถพลอาจสร้างความเดือดร้อนให้นางวัชรีได้

-------------

รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/4YaZd9FBFFI

คุณอาจสนใจ

Related News