อาชญากรรม

รองเลขา ปปง.แจ้งความเอาผิด ‘อัจฉริยะ’ ฟ้อง 10 ล้าน หมิ่นประมาท โยงเอี่ยวพนันออนไลน์

โดย petchpawee_k

29 มี.ค. 2566

33 views

รองเลขา ปปง. แจ้งความเอาผิดอัจฉริยะ หมิ่นประมาท และกฎหมาย PDPA เรียกค่าเสียหาย 10 ล้าน หลังออกมาแฉภาพมั่วโยงแก๊งพนันออนไลน์ ยันภาพถ่ายที่เป็นลูกของเพื่อน ยินดีให้สอบเส้นทางการเงิน พร้อมทวงเงินอัจฉริยะ ยืมไป 2 หมื่น ไม่คืน หากจะคืนให้เอาไปบริจาคซื้อโลงศพ ไร้ญาติยืนยัน ไม่รู้เรื่องถุงเงิน 6 ล้านของชูวิทย์ จ่อ แจ้งความทนายตั้ม รายต่อไป ระบุเป็นทนายต้องว่ากันที่หลักฐาน ไม่ใช่กล่าวหาคนอื่น ท้าเปิดกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ หากมีส่วนเกี่ยวข้องพร้อมถูกดำเนินคดี


 ความคืบหน้ากรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ออกมาเปิดเผยข้อมูลพร้อมภาพถ่ายพลตำรวจตรีเอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการป.ป.ง นำภาพถ่ายกับชายคนหนึ่งลักษณะสวมสูทถ่ายเซลฟี่คู่กัน โดยนายอัจฉริยะระบุ ว่าชายในภาพ คือ พลตำรวจตรีเอกรักษ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ รวมไปถึงภรรยาก็รู้เห็น เรื่องพนันออนไลน์เพราะมีเงินในบัญชีภรรยาจำนวนมาก


วานนี้พลตำรวจตรีเอกลักษณ์ได้นำเอกสารภาพถ่ายที่นายอัจฉริยะนำไปเผยแพร่ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท และกฎหมายพีดีพีเอ เนื่องจากเห็นว่าสิ่งที่นายอัจฉริยะนำไปเผยแพร่นั้นไม่เป็นความจริงอีกทั้งสร้างความเสียหายให้กับองค์กรคือปปง และครอบครัวของตนเอง


 โดยระบุว่าภรรยาต่อว่าตนอย่างหนักเพราะภรรยาที่ตนอยู่ด้วยนั้นมีเพียงคนเดียว ไม่ได้มีหลายภรรยาหลายคน และเงินจำนวนมากเข้าบัญชีภรรยาคนไหน ทำให้ตนต้องออกมา ใช้สิทธิ์ตามกฏหมาย


หลังจากนั้นพลตำรวจตรีเอกรักษ์ก็เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนและโชว์ภาพที่นายอัจฉริยะนำไปเผยแพร่ต่อสื่อต่างๆ โดยเป็นภาพที่ลักษณะการเซลฟี่กับชายคนหนึ่งรูปร่างสวมสูทและพลตำรวจตรีเอกรักษ์ ก็สวมสูทเช่นกันเป็นภาพถ่ายภาพเดียวเท่านั้น โดยนายอัจฉริยะอ้างว่าชายในภาพนั้นเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์


หลังจากนั้นพลตำรวจตรีเอกรักษ์ ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าที่เดินทางเข้าแจ้งความวันนี้เพราะสิ่งที่นายอัจฉริยะทำนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริง ส่งผลเสียต่อตนเอง


โดยภาพถ่ายที่นายอัจฉริยะนำไปเผยแพร่นั้นเป็นภาพถ่ายตนกับลูกของเพื่อนที่จังหวัดอ่างทอง เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 14 มีนาคม ตนไปอบรมในฐานะเป็นอาจารย์ ชายในภาพเป็นลูกเพื่อนไม่รู้ชื่อจริงอะไร แต่พ่อของชายในภาพ เรียกว่า “ดั๊ม” เมื่อเจอกัน จึงได้ขอเซลฟี่เพื่อที่จะส่งให้พ่อดู หลังจากนั้นก็มีการโพสต์ลงโซเชียลและนายอัจฉริยะก็นำภาพนี้มาโยงว่าตนเองเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์


 ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องใดใดทั้งสิ้น นอกจากนี้นายอัจฉริยะยังโยงไปถึงภรรยาตนว่ารับเงินพนันออนไลน์เข้าบัญชีจำนวนหลายล้านบาท


เรื่องนี้พลตำรวจตรีเอกรักษ์ บอกว่าสร้างปัญหาให้กับครอบครัวเพราะตนถูกภรรยาสุดที่รักตำหนิและถามว่ามีภรรยากี่คน ใครคือคนที่รับเงินจำนวนหลายล้านบาท ซึ่งขอยืนยันว่าภรรยาตนเองมีเพียงคนเดียวและไม่ได้รับเงินการพนันออนไลน์หรือเงินผิดกฎหมายใดใด ทั้งสิ้น


ภรรยาตนทำธุรกิจไม้อัดมีเงินเข้าออกถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่างและหากนายอัจฉริยะหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเส้นทางการเงินก็สามารถทำได้และพร้อมยินดีให้ตรวจสอบทั้งหมด


ยืนยันว่าการทำหน้าที่เลขาปปง. ทำไปด้วยความบริสุทธ์ใจไม่เคยใช้ตำแหน่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันหรือเรื่องผิดกฎหมายและการต้องย้ายจากตำรวจ มาขออยู่ที่ปปง.นั้นเนื่องจากตนมีลูกเล็กและอยากใช้เวลาอยู่กับครอบครัวดูแลลูก เนื่องจากทำงานตำรวจเครียดจึงขอย้ายมา เมื่อย้ายมาทำหน้าที่ดูแลในส่วนของธุรการ ไม่ได้มีหน้าที่ไปเคลียร์หน้าเสื่อหรือไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ใดใดทั้งสิ้น   สิ่งที่นายอัจฉริยะออกมาพูดนั้นเป็นความเท็จและขอยืนยันว่าสิ่งที่ตนออกมา ชี้แจงกับสื่อมวลชนนั้นเป็นความจริง 1,000,000%


นอกจากนี้พลตำรวจตรีเอกรักษ์ กล่าวถึงนายอัจฉริยะว่าในอดีตนั้นเคยรู้จักกันมาก่อน เคยคุยโทรศัพท์กันและนายอัจฉริยะก็มายืมเงินตนจำนวน 20,000 บาทเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ตนก็ไม่ได้ทวงเพราะเห็นว่าคงเดือดร้อนจริงแต่หลังจากนี้ตนขอทวงเงินนี้คืน โดยจะนำเงินนี้ไปบริจาคโลงศพที่มูนิธิร่วมกตัญอยู่ โดยให้นายอัจฉริยะนำเงินจำนวน 20,000 บาทไปบริจาคที่มูนิธิร่วมกตัญอยู่ซื้อโลงศพให้กับบุคคลไร้ญาติและให้ระบุในบิใบทำบุญว่าใส่ชื่อตนเองพลตำรวจตรีเอกลักษณ์ เพราะนายอัจฉริยะรู้จักชื่อและนามสกุลตนดี


ส่วนการแจ้งความดำเนินคดีครั้งนี้ตนขอเรียกค่าเสียหายจำนวน 10 ล้านบาทเพราะเห็นคุณชูวิทย์เรียกค่าเสียหายไปร้อยล้านตนจะเรียกแค่ 10 ล้านบาทเพื่อนำเงินไปบริจาคให้ซื้อโลงศพให้กับคนไร้ญาติ โดยจะนำเงินนี้มาทำประโยชน์ให้กับสังคม


ส่วนที่นายอัจฉริยะนำป้ายไปแขวนที่ ปปง. ยอมรับว่าส่งผลกระทบกับหน้าที่ตำแหน่งของตนเองแต่เรื่องนี้ได้ชี้แจงให้ผู้บังคับบัญชารับทราบเรียบร้อยแล้ว และวันนี้ก็ลากิจครึ่งวันเพื่อมาแจ้งความดำเนินคดี ขอยืนยันว่าตลอดอาชีพที่รับราชการมาไม่เคยทำสิ่งผิดกฎหมายหรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์ใดใดทั้งสิ้น

ส่วนกรณีเรื่องถุงเงิน 6 ล้านบาท ที่ นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ออกมาระบุว่าเป็นคนที่ถือถุงเงินจำนวน 6 ล้าน ไปมอบให้กับนายชูวิทย์ที่โรงแรมของนายชูวิทย์นั้น พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ระบุว่า ตนไม่รู้เรื่องนี้และตนก็ไม่ได้อยู่ในภาพ ขอยืนยันว่า เรื่องถุงเงิน 6 ล้านนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใด ทั้งสิ้น


พร้อมให้เปิดกล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุตรวจสอบได้เลย ซึ่งเรื่องนี้ตนไปเกี่ยวข้องก็เพราะไปแนะนำให้กับบุคคลคนหนึ่งซึ่งเป็นนักธุรกิจที่รู้จักกันกับภรรยาตนเอง ต้องการติดต่อกับคุณชูวิทย์ ซึ่งตนเองก็ไม่ได้รู้จักกับคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัว จึงได้ติดต่ออดีตตำรวจที่ตนนับถือ คือพี่เปี๊ยก โดยให้เบอร์พี่เปี๊ยกกับนักธุรกิจคนนี้หรือให้เบอร์นักธุรกิจคนนี้กับพี่เปี๊ยกซึ่งตนเองจำไม่ได้ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ติดต่อกันเอง โดยที่ตนก็เปรียบเหมือนพ่อสื่อซึ่งเค้าจะไปคุยอะไรกันยังไงตนไม่รู้และไม่เกี่ยวข้องใดใดกับเรื่องถุงเงิน 6 ล้าน


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมต้องไปแนะนำให้เขารู้จักกัน พล.ต.ต เอกรักษ์ ย้อนกลับถามนักข่าวว่า นักข่าวเคยแนะนำให้เพื่อนรู้จักเพื่อนมั้ย ผมก็เป็นเช่นนั้น  และคนที่แนะนำให้รู้จักผมก็ไม่รู้เขาทำบ่อนอะไร แต่รู้ว่าทำธุรกิจแถวเยาวราช

 “เขาแค่อยากรู้จักคุณชูวิทย์ ผมก็แค่แนะนำให้ ตำรวจที่ผมรู้จักชื่อพี่เปี้ยก ซึ่งรู้จักกับคุณชูวิทย์ ไปคุยกันเอง”


ผู้สื่อข่าวถามว่าในภาพที่ทนายตั้มนำมาโชว์นั้นมีชายใส่เสื้อสีเขียวลักษณะคล้ายกับพลตำรวจตรีเอกรักษ์ พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ถึงกับร้องว่า “อู้ยยยย ใช่ผมก็ดีสิครับ ไม่ใช่โผ้มมม ผมไม่รู้เรื่อง”

เมื่อถามว่าทนายตั้มเป็นคนออกมาแถลงระบุว่าพลตำรวจตรีเอกลักษณ์เป็นคนถือถุงเงินนั้นเข้าไปให้คุณชูวิทย์เอง พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ถึงกับถามสือว่าอย่างนั้นเลยหรอ ตนไม่รู้เรื่องเลย ซึ่งทนายตั้มระบุว่าเงินในถุงจำนวนหกล้านบาทนั้นก็เป็นเงินของสารวัตรซัวเป็นเงิน พนันออนไลน์

 พลตำรวจตรีเอกลักษณ์ บอกว่าสารวัตรซัวไม่รู้จักส่วนตัว ซึ่งในอดีตนั้นเคย เคยมีคนพามาแนะนำให้รู้จักและเขาก็ไหว้แล้วบอกว่านี่คือสารวัตรซัว ผมก็เฉยๆ เพราะผมไม่รู้ว่าซัวไหน ผมก็รับไหว้เสร็จแล้วก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่เคยเจอไม่เคยติดต่ออีกเลย


“ขอยืนยันว่าเหตุการณ์รับถุงเงิน 6 ล้านบาทไม่มีตนเองอยู่ในนั้นแน่นอน และถ้ามีการเปิดกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุ พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ก็บอกว่าตามสบาย ให้ไปเปิดวงจรปิดได้เลย”


วันนี้คุณอัจฉริยะท้าให้ผมฟ้องผมก็มา คุณอัจฉริยะจะเช็คโทรศัพท์เช็คเส้นทางการเงินเช็คกล้องวงจรปิดจะเช็คอะไรก็เช็คเลย เพราะวิทยาศาสตร์โกหกไม่ได้ถ้าผมอยู่ก็อยู่ถ้าผมไม่อยู่ก็คือไม่อยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้ทนายตั้มออกมาระบุชื่อชัดเจน รวมไปถึงระบุด้วยว่าเป็นคนถือถุงเงินของสารวัตรซัว เข้าไปให้นายชูวิทย์ด้วยตัวเองนั้นพลตำรวจตรีเอกรักษ์  ระบุว่า “ทนายตั้มรอรอบสองตอนนี้ขอดำเนินคดีกับนายอัจฉริยะก่อน เพราะมาว่าภรรยาผม  ทนายตั้มรออีกนิดนึง”


ที่ระบุว่าตนเกี่ยวข้องกับเงินสีเทาใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการมาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจผิดกฎหมายก็ขอให้พิสูจน์ครับ คนอย่างผมมีหลายคนที่รู้จักก็จะรู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ถ้าผมไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดผมรับผิดชอบตัวผมเอง ผมลาออกเอง


“แต่ก็รณีเป็นพยานบอกเล่าแล้วมาพูดกันลอยๆ แล้วมาว่าผมขนถุงเงินให้คนนั้นคนนี้ ซึ่งผมไม่รู้เรื่องผมจึงต้องออกมาปกป้องเกียรติยศตนเองและครอบครัว และสำนักงานปปง.”


ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่พล.ต.ต..เอกรักษ์ เคยเป็นตำรวจเก่า ปกติแล้วคนที่มอบเงินผิดกฎหมาย เขาจะถ่ายภาพ ยิ้มแย้ม และมีหลักฐานมัดตัวเองหรือไม่ ซึ่งภาพที่ทนายตั้มออกมาเปิดเผยในส่วนของการรับถุงเงินหกล้านบาทในวันนั้นมีการถ่ายภาพผู้มอบให้และผู้รับอยู่ในลักษณะยิ้มแย้มและยืนอยู่ใกล้กับถุงเงิน


พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ระบุว่า นักข่าว คิดว่าคนทำเรื่องไม่ดี ใครจะถ่ายรูปยิ้มแย้มกันแบบนี้หรอ ความเห็นส่วนตัว ผมว่าถ้าจะทำอะไรที่ไม่ดีไม่งาม ทุกคนจะรีบทำแล้วก็รีบไป และไม่มีการบันทึกอะไรไว้เป็นหลักฐานมัดตัวเอง การที่ออกมาให้ถุงเงินแล้วยืนยิ้มถ่ายรูปกันนั้นส่วนตัวตนก็มองว่าแปลก


ซึ่งกรณีเงินหกล้านบาทนี้ตนไม่ได้รู้เห็นและมีส่วนเกี่ยวข้องถึงไม่ขอก้าวล่วงในเรื่องนี้และเชื่อว่าคุณชูวิทย์จะนำเงินไปคืนตำรวจและตำรวจคงจะตรวจสอบและชี้แจงกับสังคมได้ว่าเงินนี้มาจากที่ไหนใครเป็นคนนำมาให้ จะเป็นของสารวัตรซัวหรือไม่ก็ให้ตำรวจดำเนินการและถ้าพบว่าเกี่ยวข้องกับผมก็ดำเนินการตามกฎหมาย ถ้าผมจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาผมก็พร้อมที่จะรับทราบข้อกล่าวหา


ขอยืนยันว่าตนเองไม่ได้รู้จักส่วนตัวกับคุณชูวิทย์ รวมไปถึงทนายตั้มก็ไม่รู้จักส่วนตัว แต่เคยพบครั้งหนึ่งแล้วทนายตั้มก็แอดไลน์กันและถ่ายรูปตน


 เหตุการณ์นี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทนายตั้มทำไมถึงออกมาพูดแบบนี้ เค้าหวังอะไร หากมีเรื่องสงสัยอะไรก็ ก็โทรหาตนเองได้ต้อนรับทุกเบอร์ ผู้สื่อข่าวก็รู้ดี


ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกโกรธหรือไม่ที่ทนายตั้มออกมากล่าวหาเป็นข้าราชการที่ไม่ดีเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์และเป็นคนนำเงินไปมอบให้กับคุณชูวิทย์

พลตำรวจตรีเอกรักษ์ ระบุว่า “ทุกคนมีความรู้สึก แต่การที่ออกมาพูดไม่ควรที่จะไปกระทบต่อบุคคลอื่นหรือทำให้คนอื่นเขาเสียหาย เพราะบุคคลอื่นก็มีสิทธิและเสรีภาพ”


แต่ที่เคืองมากที่สุดคือคุณอัจฉริยะเพราะไปดูหมิ่นภรรยาของผม และขอยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ ล้านเปอร์เซ็น


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/j5GBvbuAKek

คุณอาจสนใจ

Related News