อาชญากรรม

หนุ่มใหญ่หัวร้อน เข้ารับทราบข้อหา หลังใช้แท่งเหล็กตีหัวลุง ฉุนขี่จยย.ช้า-ปาดหน้า หัวแตกเย็บ 5 เข็ม

โดย petchpawee_k

7 มี.ค. 2566

20 views

จากกรณีที่ มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพเหตุการณ์ พร้อมบรรยายเหตุการณ์ และขอความเป็นธรรมให้กับพ่อวัยกว่า 60 ปี ที่ถูกชายปริศนาทำร้ายร่างกายโดย อ้างสาเหตุว่าพ่อของตนเองขับขี่รถจักรยานยนต์ช้าขวางทาง ทำให้ไม่พอใจจึงมีการใช้แป๊บเหล็กทุบตีจนได้รับบาดเจ็บศีรษะแตก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. เมื่อเวลา 07.56 น. บริเวณถนนประชาอุทิศระหว่างซอย 14 ถึงซอย 16


ต่อมาวานนี้ (วันที่ 6 มี.ค.) ทีมข่าวติดต่อไปที่ ร้อยตรีวิเชียร ข้าราชการทหารนอกราชการ อายุ 64 ปี ที่เป็นผู้เสียหายรายนี้ เล่าว่า ในวันเกิดเหตุตนได้ออกจากบ้านพักในซอยประชาอุทิศ 14 เพื่อจะเดินทางมาหาบ้านลูกสาวเพื่อซื้ออาหารให้กับภรรยาที่ป่วยเป็นโรคไตและมาพักรักษาอยู่ที่บ้านลูกสาว ที่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ซอย แต่เมื่อตนออกจากซอยเพื่อจะเลี้ยวขวาก็มีรถคู่กรณีขับขี่มาที่เล่นขวาด้วยความเร็วก่อนที่จะชะลอ ตนเองจึงเลี้ยวข้ามและพยายามชิดซ้าย แต่ด้วยความกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุจึงขับขี่ช้า ซึ่งคู่กรณีไม่พอใจและมีการเปิดกระจกด่าทอ และพยามขับไล่ตนมาถึงจุดเกิดเหตุ ตนเองชะลอ  รถคู่กรณีก็มีการปาดและลงมาเริ่มด่าทออีกครั้ง ก่อนที่คู่กรณีจะหยิบอาวุธ เป็นแป๊บเหล็กออกมาจากท้ายรถ


ซึ่งตนเองได้พยายามบอกกับทางคู่กรณีมาโดยตลอดว่าไม่อยากมีเรื่อง แต่คู่กรณีไม่รับฟัง และเริ่มมีการใช้แป๊บเหล็ก ตีที่บริเวณขาด้านซ้ายของตนเองก่อนหนึ่งครั้งและเริ่มตีตามร่างกาย ซึ่งตนเองได้พยามปัดป้อง ก่อนที่จะเสียหลักก้มลงทำให้คู่กรณีใช้แป๊บเหล็กตีที่บริเวณกลางศรีษะ ทำให้เกิดบาดแผลแตก ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวตนเองกลัวเป็นอย่างมากและไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดคู่กรณีจึงก่อเหตุด้วยความรุนแรงแบบนี้ เพราะสาเหตุที่ตนเองขับช้าไม่ใช่ต้องการที่จะกลั่นแกล้งรถบนถนน แต่เป็นเพราะตนเองกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุประกอบกับในพื้นที่มีการจราจรคับคั่งทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังจึงอาจทำให้ดูเหมือนขับช้า


ซึ่งหลังเกิดเหตุตนได้เดินทางมาที่บ้านพักของลูกสาวและไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ได้มีการเย็บบาดแผลให้จำนวน 5 เข็ม และให้ติดตามอาการอีกครั้ง ตนจึงเดินทางเข้าแจ้งความที่สน. ราษฎร์บูรณะ ไว้เป็นหลักฐานแต่ในขณะนี้ยังไม่ได้ รับการติดต่อจากทางเจ้าของคดีว่าคดีดำเนินการไปถึงขั้นตอนใด ตนจึงอยากฝากไปถึงทางคู่กรณีว่าอยากให้ใจเย็นกว่านี้และไม่อยากให้ก่อเหตุแบบนี้กับคนอื่นอีก ขณะที่ในส่วนของตำรวจตนก็อยากให้ดำเนินการทางคดีกับทางผู้ก่อเหตุเพื่อให้ได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ ได้ทำไป


ร้อยตรีวิเชียร ระบุอีกว่า ขณะเกิดเหตุตนได้พยามบอกกับทางคู่กรณีไปแล้วว่า ตนไม่อยากมีเรื่องหากจะต้องมีการชกต่อยก็ขอชกต่อยเพียงแค่บนเวทีเท่านั้น เพราะขณะที่เคยเป็น ข้าราชการ ทหารก็ เคยเป็นนักมวยขึ้นเวที


ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับผู้เห็นเหตุการณ์ และเป็นคนเข้าไปห้าม โดยนางสาวเอ (นามสมมุติ) เล่าว่า ตนผ่านมาเห็นว่ามีการทำร้ายร่างกายคนสูงอายุ จึงหยุดเพื่อจะเข้าไปห้ามปราม ก่อนที่จะเห็นว่าคู่กรณีอยู่ในอาการโมโหอย่างรุนแรง และมีท่าทีเกรี้ยวกราดพร้อมกับมีอาวุธอยู่ในมือ ซึ่งตนทำได้เพียงแค่ตะโกนห้ามบอกว่าลุงได้รับบาดเจ็บแล้วขอให้หยุดทำ


ซึ่งในตอนแรกผู้ก่อเหตุไม่ยอมหยุด และยังคงอยู่ในอาการเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะเริ่มมีรถจอดดูและมีคนมาดูเยอะขึ้นทำให้คู่กรณีเริ่มเย็นลงและกลับขึ้นรถออกไปจากจุดเกิดเหตุ ซึ่งก่อนกลับขึ้นรถคู่กว่านี้ได้ไล่ลุงที่บาดเจ็บให้ไปให้พ้น ซึ่งตนเองทราบจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ รู้จักคนมากแต่ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร


ส่วนท่าทีของผู้ก่อเหตุยืนยันได้ว่าไม่ได้อยู่ในอาการมึนเมาเพราะตนเองมั่นใจว่าคู่กรณีมีสติเป็นอย่างดี แต่มีอาการตาขวางเกรี้ยวกราดผิดปกติเกินกว่าเหตุ ซึ่งเมื่อทีมข่าวสอบถามว่าคล้ายลักษณะของผู้เสพยาเสพติดหรือไม่ พยานคนนี้ตอบเพียงว่าไม่สามารถยืนยันได้


ต่อมาต่อมา เวลา 12.00 น. ทีมข่าวเดินทางมาติดตามความคืบหน้าทางคดีที่ สน.ราษฎร์บูรณะ พบว่าผู้ก่อเหตุรายนี้ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ


โดยนายสิร  อายุ 41 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวประเภทขนส่งสินค้า ระบุภายหลังเดินทางเข้ารับทราบข้อหาว่า ส่วนตัวได้มีการขอโทษผู้เสียหายไปแล้วตั้งแต่วันเกิดเหตุ ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุเพราะความอดทนของตนเองมีขีดจำกัด ขณะที่เรื่องของอาวุธไม่ได้มีการเตรียมการไป แต่หาหยิบจากจุดเกิดเหตุ


ขณะที่ผู้เสียหายอ้างว่ามีการท้าทาย ตนเองยืนยันว่าไม่ได้มีการท้าทาย แต่อยากให้ไปถามทางผู้เสียหายเองว่าวันเกิดเหตุพูดอะไรไว้ ส่วนเรื่องขาใหญ่ในพื้นที่ตนเองไม่เคยพูดหรืออ้างตัว มีแต่ฝ่ายผู้เสียหายที่อ้างว่ารู้จักนายพัน ต่อจากนี้ตนเองยืนยันว่าจะไม่หัวร้อนก่อเหตุแบบนี้อีก ส่วนทางคดีมีรายงานว่าวันนี้พนักงานสอบสวนมีการตรวจปัสสาวะผู้ต้องหา


เบื้องต้นไม่พบว่ามีสารเสพติด จึงมีการสอบปากคำและแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งต่อจากนี้ต้องรอผลแพทย์จากทางผู้เสียหายอีกครั้ง หากพบแพทย์มีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบาดเจ็บสามารถแจ้งข้อหาได้ก็จะทำการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม แต่หากไม่ได้ก็จะนำผลแพทย์เจ้าสำนวนคดีและนัดวันส่งตัวผู้ต้องหาต่อศาลอีกครั้ง


รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/NeeZtEf6E7w


คุณอาจสนใจ

Related News